เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
55,517,192 |
Page Views |
62,346,927 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
23/03/2024
View: 243,839
For information only-the plant is not for sale.
พรรณไม้ในร่ม - รำไร
ข้อมูลของพันธุ์ไม้ในร่มที่น่าสนใจ ซึ่งในร่มในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่โดนแดดเลย แต่หมายความว่าต้องการ แสงแดดน้อยและจะเจริญได้ดีกว่าและสวยงามกว่าอยู่ในที่ๆมีแดดจัด หรือทนอยู่ในที่ร่มเป็นระยะเวลาได้นานกว่า ก่อนอื่นควรที่จะรู้ว่าจะปลูกไม้ในร่มและจะดูแลยังไงให้ดีให้ไม้ในร่มของคุณอายุยืน 1 หมั่นเด็ดดอกใบที่เหี่ยวแห้งหรือติดเชื้อออก 2 อย่ารดน้ำมากเกินไป รอให้ดินในกระถางแห้งก่อนแล้วถึงรด การรดน้ำมากทำให้เกิดความชื้นสะสมอยู่ชั้นล่างของดินก้นกระถาง ระเหยไม่ทันรากจะเน่า 3 อย่าใช้สารเคลือบเงาใบไม้บ่อยเกินไป เพราะจะอุดรูใบของใบไม้ได้ ต้นไม้ที่อยู่ใกล้หูใกล้ตาถ้ารำคาญว่าสกปรกมาก ใช้ผ้าหมาดๆเช็ดใบก็พอ 4 อย่าลืมให้ปุ๋ยบ้าง ให้ทางรากแล้วให้ทางใบด้วย ข้อแนะนำเล็กน้อยในการเลือกซื้อต้นไม้ในร่ม ตรวจดูว่าต้นไม้ที่ซื้อมามีสุขภาพดีหรือไม่ อย่าซื้อต้นไม้ที่ส่อแววว่าจะเป็นโรคหรือขาดการดูแลที่ดี โดยพิจารณาจาก 1 ใบเป็นเมือกเหนียวหรือเป็นรา 2 ดอกบานหมดแล้วและไม่มีตาสำหรับผลิดอกใหม่ 3 ใบหร็อมแหร็มและเป็นสีเหลือง 4 ดินในกระถางแห้งหดเหลือช่องว่างระหว่างดินกับขอบในของกระถาง 5 มีคราบเขียวขึ้นด้านนอกของกระถางและผิวดินในกระถาง 6 มีรากแทงออกทางรูระบายก้นกระถางเป็นจำนวนมาก 7 ผิวดินบนกระถางมีรากกลับขึ้นมาให้เห็นเต็มไปหมดจนไม่เห็นดินเห็นแต่ราก
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
ไฮเดรนเยีย/Hydrangea macrophylla
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Hydrangea macrophylla (Thunb.) Ser.(1830) ชื่อพ้อง---Has 30 Synonyms ---Basionym: Viburnum macrophyllum Thunb.(1784) ---Hortensia macrophylla (Thunb.) H.Ohba & S.Akiyama.(2016) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:791637-1#synonyms ชื่อสามัญ---Big leaf hydrangea, French hydrangea, Lacecap hydrangea, Mophead hydrangea, Penny mac. ชื่ออื่น---ไฮเดรนเยีย ;[ALBANIA: Lule-borë.];[CHINESE: Xiù qiú.];[CZECH: Hortenzie velkolistá.];[DANISH: Hortensia.];[DUTCH: Gewone hortensia.];[FRENCH: Hortensia, Hortensia à grandes feuilles.];[GERMAN: Garten-Hortensie.];[JAPAN: Amacha, Ajisai, Fuiri-gaku, Haidoranjia, Shichihenge.];[KOREA: Su-guk.];[MALAYSIA: Bunga tiga bulan.];[PORTUGUESE: Flor-de-pedra, Granja, Hidranja, Hortênsia, Novelão.];[SPANISH: Mil-flores, Novelos.];[SWEDISH: Hortensia.];[THAI: Hydrangea.];[TURKISH: Ortanca.];[VIETNAM: Cây tú cầu, Tú cầu lá to, Cẩm tú cầu, Bát tiên.] ชื่อวงศ์---HYDRANGEACEAE EPPO Code---HYEMA (Preferred name: Hydrangea macrophylla.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ญี่ปุ่น จีน เกาหลี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลHydrangeaมาจาก ' hydor'แปลว่า "น้ำ" และ 'aggeion'แปลว่า "เรือ" อ้างอิงถึงผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายถ้วย ; ชื่อสายพันธุ์ 'macrophylla' มาจากคำกรีก 'makros' = ขนาดใหญ่และ 'phyllon' = ใบไม้ ในการอ้างอิงถึงใบพืช Hydrangea macrophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Hydrangeaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Nicolas Charles Seringe (1776–1858) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2373
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นและอาจจะเป็นประเทศเกาหลีด้วย สายพันธุ์นี้มีสัญชาติจีน เกาหลี ไซบีเรีย นิวซีแลนด์ และอเมริกา เป็นสายพันธุ์ที่รุกรานในหมู่เกาะอะซอเรสและมาเดรา มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในหลายส่วนของโลกในสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ลักษณะ เป็นไม้พุ่มผลัดใบสูง 60-90 ซม.ใบมีขนาดใหญ่หยักเว้าเป็นรูปไข่เงาสีเขียว กลุ่มดอกไม้ฤดูร้อนที่บานนานขนาดใหญ่ในรูปแบบ lacecap(กลุ่มดอกไม้ที่แบนราบของดอกย่อยที่อุดมสมบูรณ์ขนาดเล็กที่มีดอกที่เป็นหมันกระจัดกระจายมักจะเป็นวงแหวนที่ขอบ) หรือรูปแบบ mophead (กลุ่มดอกไม้ทรงกลมของดอกที่เป็นหมันส่วนใหญ่) ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ส่วนที่เป็นกลีบนั้นไม่ใช่กลีบดอกแท้แต่เป็นกลีบรองดอก มีกลีบเลี้ยงสีเขียวขนาดเล็กห้ากลีบและกลีบดอกขนาดเล็กห้ากลีบ ผลเป็นแคปซูล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ดีที่สุดในดินที่มีความชื้นปานกลางและมีการระบายน้ำได้ดีในที่ร่ม ทนแดดจัดก็ต่อเมื่อปลูกในดินที่ชื้นอย่างสม่ำเสมอ สามารถรับแสงแดดได้นานถึง 4-6 ชั่วโมง แนะนำให้ใช้แสงแดดในตอนเช้า ดอกอาจเป็นสีฟ้า สีแดง สีชมพู สีม่วงอ่อนหรือสีม่วงเข้ม สีรับผลกระทบจากค่า pH ของดิน ดินที่เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7) มักจะให้สีดอกไม้ใกล้เคียงกับสีน้ำเงินในขณะที่ดินที่เป็นด่าง (pH สูงกว่า 7) จะทำให้ดอกไม้มีสีชมพูมากกว่า ดังนั้นนักปลูกไฮเดรนเยีย จึงใช้ผงตะไบเหล็กโรยโคนต้น และรดด้วยน้ำแกว่งสารส้ม (ในอัตราส่วน สารส้มป่น 1ช้อนชาต่อน้ำ 1 แกลลอน) ก็จะได้ดอกไฮเดรนเยียที่งดงาม และมีสีสดใสสะดุดตา รวมทั้งช่วยให้ดอกแก่เป็นสีน้ำเงินได้อย่างวิจิตรพิสดาร การรดน้ำ---รดน้ำปกติหรือทันทีเมื่อดินแห้ง รดน้ำที่โคนต้นเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อราที่ใบ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งบ่อยๆ มีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะๆ เริ่มด้วยการตัดกิ่งที่ตายแล้วออกเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศและสร้างพื้นที่สำหรับการเจริญเติบโตใหม่ อย่าตัดกิ่งมากกว่าหนึ่งในสามเพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้จะไม่ช็อก ไม่ต้องตัดดอกที่ร่วงโรยออกเพราะดอกจะเกิดบนกิ่งเก่า การตัดดอกเก่าออกอาจตัดดอกตูมที่จะเกิดใหม่ทิ้งไปด้วย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักปีละครั้ง ใช้ปุ๋ยน้ำ 18-24-16 หรือ 20-20-20 หรือ 20-30-20 ผสมกับน้ำแล้วใส่แบบเดียวกับที่คุณรดน้ำต้นไม้ วิธีการให้ปุ๋ยด้วยปุ๋ยน้ำนี้ต้องทำสามหรือสี่ครั้งต่อปีเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนและสิ้นสุดในกลางเดือนกรกฎาคม ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหากับแมลงศัตรูพืชหรือโรคมากนัก อาจได้รับผลกระทบจากสัตว์รบกวนในสวนทั่วไปเช่นเพลี้ย และด้วง สามารถกำจัดได้ใช้สบู่ฆ่าแมลง/ โรคใบจุด และโรคราแป้ง สามารถรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อราที่เหมาะสม รากเน่าอาจเกิดขึ้นในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี การดูแลสวนให้ปราศจากวัชพืชและเศษพืชอื่นๆ ที่ร่วงหล่นเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบแห้งบดเป็นผงและใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร ใบอ่อนและยอดสามารถกินสุก -ใช้เป็นยา ใช้สำหรับโรคมาลาเรีย เป็นยาขับปัสสาวะและต้านการอักเสบ -ใช้ปลูกประดับ มีพันธุ์ต่างๆที่เกิดจากการผสมมากมาย และความที่ดอกอยู่ได้ทนจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากในงานดอกไม้ประดับทั้งหลาย พันธุ์ H. macrophylla สองประเภทหลัก เรียกว่า "mophead" และ "lacecap" พันธุ์ที่ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) -'Europa' ; compact, deep pink mophead -'Love You Kiss' ; red-margined white florets, lacecap -'Madame Emile Mouillère' ; small shrub to 1.8 m, white flowers -'Rotschwantz’ ; deep red and white lacecap -'Veitchii' ; blue and white lacecap -'Westfalen' ; compact, crimson-purple mophead -'Zorro’ agm; bright blue lacecap ระยะออกดอก---ตั้งแต่ต้นฤดูร้อนถึงต้นฤดูหนาว ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง
สร้อยไข่มุกยักษ์/Medinilla magnifica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Medinilla magnifica Lindl.(1850) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Dactyliota bracteata Blume.(1849) ---Medinilla bracteata Veitch.(1850), nom. illeg. ---Medinilla superba Teijsm. & Binn. ex Triana.(1871 publ. 1872) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:570289-1#synonyms ชื่อสามัญ---Pink medinilla, Showy medinilla , Javanese Rhododendron, Malaysian orchid tree, Love Plant, Rose Grape, ชื่ออื่น---สร้อยไข่มุกยักษ์ ;[DUTCH: Pracht-medinella.];[FRENCH: Medinilla magnifique.];[GERMAN: Medinille.];[JAPANESE: Uva rosa.];[PHILIPPINES: Kapa-kapa.];[PORTUGUESE: Medinila, Uva-rosa.];[SPANISH: Medinila, Uva rosa.];[SWEDISH: Rosenskärm.];[THAI: Soi khai mook yak.]. ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE EPPO Code---MDJMA (Preferred name: Medinilla magnifica.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิก แอฟริกาเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุลได้รับการตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ José de Medinilla y Pineda (เกิดประมาณ 1753-1813) ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐมอริเชียส (หรือที่รู้จักกันในชื่อหมู่เกาะ Marianne) ในปี พ.ศ.2363 ; ชื่อสายพันธุ์ 'magnifica' = ตระการตา, ยอดเยี่ยม, พร้อมการอ้างอิงที่ชัดเจน Medinilla magnifica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกวงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดยJohn Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2393 ในวงศ์นี้เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมพันธุ์ไม้โดยเกือบจะเหมือนกันกับ Medinilla speciosa (ไข่มุกอันดามัน หรือสร้อยไข่มุก)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมาเลเซีย และฟิลิปปินส์ (เกาะ ลูซอน, มินดาเนา, โดโร, กรอส และ เน่ย์) แอฟริกาเขตร้อนและหมู่เกาะแปซิฟิก มันเป็น epiphyte เติบโตขึ้นตามคาคบของต้นไม้ใหญ่ในป่า สายพันธุ์และลูกผสมต่าง ๆปลูกเป็นไม้ประดับ ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม epiphytic ตั้งตรงสูงได้ถึง 1.50-3 เมตร ฟอร์มใบใหญ่สีเขียวเข้มเป็นมันคล้ายหนังยาว 20-30 ซม.ช่อดอกยาวแผ่กว้าง ประมาณ 35-45 ซม.มีกาบสีชมพูผลัดใบ ประกอบด้วยดอกย่อยหลายร้อยดอก ดอกบานกว้าง 2.5 ซม.ยาว 4 ซม ผลสีม่วงทรงกลมมีเนื้อขนาดประมาณ 1 ซม.ดอกบานทนนาน 2เดือน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องมีความชื้นสูงและแสงกรองที่สว่างจ้าพร้อมร่มเงาในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน ไม่ทนต่ออุณหภูมิต่ำกว่า 15 ° C อุณหภูมิที่เหมาะสม 24-28° C การรดน้ำ---รดน้ำปกติหรือทันทีเมื่อดินแห้ง รดน้ำที่โคนต้นเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อราที่ใบ ไม่จำเป็นต้องรดน้ำมากกว่าสัปดาห์ละครั้งในช่วงฤดูปลูก หากใบไม้เป็นสีน้ำตาลหรือม้วนงอ แสดงว่าอากาศอาจแห้งเกินไป พ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำจะช่วยได้ ลดการรดน้ำเล็กน้อยในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งทันทีหลังจากที่พืชออกดอก ตัดแต่งกิ่งต้นไม้เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้เก็บใบไว้อย่างน้อยหนึ่งชุดในแต่ละลำต้น เพราะลำต้นที่ไม่มีใบย่อมตายได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร ชนิด 10-20-10 ละลายน้ำครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำในฉลากทุกๆ 2-3 สัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสสูงหรือปุ๋ยกล้วยไม้เจือจางเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้สร้างสารละลายด้วยน้ำก่อนเสมอ มิฉะนั้น รากพืชอาจไหม้ได้ การใส่ปุ๋ยหมักเป็นครั้งคราวจะทำให้พืชได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่พืชต้องการ ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังเพลี้ยแป้ง/อาจเสี่ยงต่อโรคราแป้งและโรคใบจุด รากเน่าอาจเกิดขึ้นในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้กระถางขนาดใหญ่ให้ดอกในที่ร่มซึ่งมีแสงเพียงพอ ตกแต่งภายในอาคาร ดอกที่ใหญ่มากเวลาออกดอกก้านดอกแทบรับน้ำหนักไม่ไหวต้องใช้ไม้ไผ่ค้ำกันไม่ให้กระถางคว่ำหากปลูกในภาชนะที่เล็กเกินไป รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์หากรับประทานในปริมาณมาก ได้รับรางวัล--- Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit. ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
เอื้องหมายนา/Cheilocostus speciosus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cheilocostus speciosus (J.Koenig) C.D.Specht. (2006) ชื่อพ้อง ---Has 34 Synonyms. ---Basionym: Banksea speciosa J.König. (1783) ---Costus speciosus (J. Koenig) Sm. (1791) ---Hellenia speciosa (J. Koenig) SRDutta. (2013) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.net/tpl/record/kew-343835 ชื่อสามัญ---Cane reed, Crape Ginger, Crepe Ginger, Elegant Costus, Malay Ginger, Spiral Flag, Spiral Ginger, White Costus, Wild Ginger ชื่ออื่น---เอื้องหมายนา, เอื้องเพ็ดม้า, เอื้องเพชรม้า, เอื้องใหญ่, บันไดสวรรค์, เอื้องช้าง, เอื้องต้น ;[ASSAMESE: Jom lakhuti.];[BENGALI: Keu, Keumuk, Koost.];[CHINESE: Bi qiao jiang.];[COSTA RICA: Caña agria.];[HINDI: Keu, Kushtha.];[INDIA: Changalakoshta; Keokanda kostam; Kottam; Kusht.];[INDONESIA: Kelacim, Pacing Tawar (Bahasa Indonesia).];[JAPANESE: Oo-hozaki-aame.];[MALAYALAM: Narum canna, Cannakkuvva, Cannukkilannu];[MALAYSIA: Can Hawang (Batek); Penawar Padang, Sedingin, Setawar (Malay); Peniyau (Jahut); Sentawar (Semelai).];[MICRONESIA: Dihng, Sinser weitahta, Ting (Pohnpei) ; Sauer, Thowel, Wanim (Yapese).];[PALAUAN: Iisebsab.];[SANSKRIT: Kemuka, Kustha, Amaya, Bhasura.];[SPANISH: Caña americana; Caña mejicana; Caña santa; Cañuela santa; Jenjibre blanco ; Jenjibre de jardín.];[TAMIL: Kostam, Ven-kostam.];[TELUGU: Cengalva Kostu];[THAI: Ueang mai na, Ueang pet maa, Ueang yai, Bandai sawan, Ueang chang, Ueang ton.];[VIETNAM: Mía dò, Cát lồi, Dọt đắng, Dọt hoàng, Tậu chó.]. ชื่อวงศ์---COSTACEAE EPPO Code---BANSP (Preferred name: Banksea speciosa.) syn ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศอินเดีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงเกาะนิวกินี นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล Cheilocostusมาจากภาษากรีก 'Cheilo' = ริมฝีปากอ้างอิงถึง labellum ขนาดใหญ่ ; ชื่อสปีชีส์ speciosus ในภาษาละติน = หน้าตาดีและน่าประทับใจโดยอธิบายถึงลักษณะของมัน Cheilocostus speciosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เอื้องหมายนา (Costaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Johann Gerhard König (1728–1785) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Chelsea D. Specht (เกิดปี 1970) (fl. 2006) เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2549
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบริเวณโดยรอบ จากอินเดียไปยังประเทศจีน(กวางตุ้ง,กวางสี,ไต้หวัน,ยูนนาน) ถึงรัฐควีนส์แลนด์, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะซุนดาในอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าแปลงสัญชาติในประเทศมอริเชียส, เรอูนียง, ฟิจิ, ฮาวาย, คอสตาริกา, เบลีซ, ไมโครนีเซียและเวสต์อินดีส เติบโตในที่อยู่อาศัยที่มีร่มเงาในป่าเขตร้อนชื้นมักพบตามคูน้ำริมถนนและพื้นที่ต่ำในป่าเขตร้อนที่ระดับความสูงถึง 1,700 เมตร ในประเทศไทยมีการกระจายพันธุ์ขึ้นอยู่ตามชายป่าในที่ดินชุ่มชื้นทั่วทุกภาคที่ระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 87-126 เมตร ลักษณะ เอื้องหมายนาเป็นไม้ล้มลุกยืนต้น มีเหง้า ขึ้นเป็นต้นเดี่ยว รวมกลุ่มเป็นกอไม่มีกิ่งก้านสูงประมาณ 1.5 เมตรหรือกว่านั้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม.ลำต้นมีสีแดง โคนต้นเป็นเนื้อไม้เล็กน้อย มีเหง้าเลื้อยอยู่ใต้ดิน ลักษณะใบเรียงเป็นเกลียวแถวเดียว ใบย่อยรูปใบหอกยาว 15–20 ซม.และกว้าง 6–10 ซม.โคนใบมน และปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อตรง ก้านดอกมีสีแดงเข้ม มีรูปร่างเป็นวงรีรูปไข่ สูง 12–15 ซม.ยอดดอกตูมจะมีกาบสีแดงคล้ำเกาะติดกันแน่นเป็นกระจุก แต่จะผลัดกันบานครั้งละ 1-2 ดอก ดอกทรงกรวยสีขาว เกสรสีเหลืองอ่อน กว้าง 6-8 ซม.ผลเป็นแคปซูลทรงกลมขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 1.5 ซม.แห้งแล้วแตก เมล็ดสีดำมันจำนวนมากขนาดประมาณ 3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มครึ่งวันเช้า (4-6ชั่วโมง) แสงแดดรำไรที่ร่มบางส่วน ดินร่วนชื้นอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุ มีการระบายน้ำดี หรือดินร่วนเหนียวที่มีค่า pH ตั้งแต่ 5.6 ถึง 7 5 ต้องการน้ำมาก อัตราการเจริญเติบ เร็ว การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ทำให้ดินชื้นเล็กน้อย ยิ่งมีแสงแดดมากเท่าใดก็ยิ่งรดน้ำบ่อยขึ้นเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว ลดการให้น้ำน้อยลง การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบแห้งใบเหลืองและต้นแก่ในกอที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกสัปดาห์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพืชได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าเหง้านั้นแข็งแรงและมีสุขภาพดีรวมทั้งให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการออกดอก อย่าใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาโรคหรือศัตรูพืชรบกวน/รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป และดินมีการระบายน้ำที่ไม่ดี ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาและอาหารในท้องถิ่น บางครั้งได้รับการปลูกเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคในอินเดียและมักปลูกเป็นไม้ประดับในหลายพื้นที่ของเขตร้อน -ใช้กิน ส่วนของพืชมีการบริโภคในชุมชนชนบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ยอดอ่อน ปรุงสุก ต้มหรือนึ่งแล้วกินเป็นผัก -ในซาราวัก ยอดอ่อนจะผัดกับปลากะตักและกะปิหมักที่เรียกว่าเบลาชัน -ดอกไม้กินได้ มักใช้ในสลัดหรือปรุงแต่ง -เหง้าปรุงในแกงหรือทำน้ำเชื่อม รายงานฉบับหนึ่งระบุว่าเหง้ามีรสขมและฝาด -ใช้เป็นยา พืชที่มีประโยชน์หลายอย่างในประวัติศาสตร์อายุรเวทที่เหง้ามีการใช้เพื่อรักษาไข้ผื่น โรคหอบหืด หลอดลมอักเสบและพยาธิ มีการกล่าวถึงในKama Sutraว่าเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางเพื่อใช้กับขนตาเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดทางเพศ ใช้ในการรักษาปัญหาเกี่ยวกับไตและปัญหาทางเดินปัสสาวะอื่น ๆ -ในการแพทย์แผนโบราณ Mizo ชาวมาเลย์ ถูกใช้เป็นยาแผนโบราณรักษาไข้สูง ไข้ทรพิษ ยาระบายและใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ -ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเพื่อเป็นไม้ประดับ ใช้ปลูกประดับสวนสาธารณะและสวนทั่วไป, เพื่อให้ได้บรรยากาศสวนป่าและสวนริมน้ำ ความเชื่อ/พิธีกรรม---*ชาวลั้วะจะใช้ใบเอื้องหมายนาเป็นส่วนประกอบในการทำพิธีสู่ขวัญควาย (การขอขมาลาโทษจากควาย เนื่องจากที่ถูกชาวนาดุด่า ทุบตีระหว่างการไถพรวน) ซึ่งในพิธีจะมีการนำต้นเอื้องหมายนามาปักไว้ทั้ง 4 ทิศของพื้นที่นา โดยจะมีประโยชน์ในการช่วงป้องกันวัชพืชของต้นข้าวที่จะมาทำลายต้นข้าว จึงช่วยทำให้ต้นข้าวออกรวงได้ดี นี้จึงเป็นที่มาของชื่อสมุนไพรชนิดนี้ว่า "เอื้องหมายนา" [จากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai).] -ชาวมาเลย์ใช้เป็นยาแผนโบราณ เมื่อวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงร่าง รู้จักอันตราย---*สตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ เพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้ เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ต้านการฝังตัวของตัวอ่อนที่ผนังมดลูก และการใช้สมุนไพรชนิดนี้อาจไปรบกวนรอบประจำเดือนด้วย เหง้าสดมีพิษมาก หากใช้ในปริมาณมากจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วงอย่างรุนแรง ต้องนำมาทำให้สุกก่อนนำมาใช้ [จากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai).] สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---มีถิ่นกำเนิดในสิงคโปร์ " ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง" (CR) ระยะออกดอก---เดือนพฤษภาคม-เดือนตุลาคม หรือในช่วงเดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ หรือแยกเหง้าไปปลูก
เอื้องหมายนาด่าง/Costus speciosus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cheilocostus speciosus 'Variegatus' ชื่อพันธุ์--- Variegatus ชื่อพ้อง---Costus speciosus ‘Variegatus’ ---See all https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/1/8/1871 ชื่อสามัญ---Variegated Crepe Ginger, Variegated Spiral Ginger/ Flag, Ornamental ginger. ชื่ออื่น---เอื้องหมายนาใบด่าง ;[CHINESE: Bān yè bì qiào jiāng.];[THAI: Ueang mai na dang.]. ชื่อวงศ์---COSTACEAE EPPO Code---1CQTF (Preferred name: Costaceae.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย มาเลเซีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Cheilocostus speciosus ‘Variegatus’ เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Cheilocostus speciosus สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เอื้องหมายนา (Costaceae) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมาเลเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสีน้ำตาลแดง มีเหง้าใต้ดินขึ้นเป็นกอ มีใบด่างที่แตกต่างจากเอื้องหมายนาชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด ลำต้นสูง1.5-2 เมตร ตั้งตรงและไม่แตกกิ่งก้านและบางครั้งอาจคดเป็นรูปแบบเกลียวที่ปลายด้านบน ใบรูปไข่ถึงรูปขอบขนานยาว 15-30 ซม. ปลายใบแหลม แต่ละใบมีแถบสีขาวแคบ ๆ ตามขอบและมีเส้นสีขาวสุ่มบนแผ่นใบ ด้านล่างของใบมีขนอ่อน ๆ ใบเรียงสลับเวียนรอบลำต้น ดอกไม้สีขาวที่มีรูปร่างคล้ายทรัมเป็ตแต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 ซม. มีกลีบดอกที่หลอมรวมกันเป็นรูปกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่เผยให้เห็นเกสรขนาดเล็กสีเหลืองคล้ายกลีบดอก ผลรูปทรงกลมถึงรูปไข่แคปซูลผลไม้ 3 เหลี่ยมสีแดงขนาด 1.5 ซม. มีเมล็ดสีดำและเนื้อสีขาวที่นกชื่นชอบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นถึงภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งดีที่สุดในแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ควรได้รับแสงแดดโดยตรง 3-5 ชั่วโมงทุกวัน สามารถทนแดดได้เต็มที่ ชอบดินร่วนชื้นที่อุดมสมบูรณ์ pH 6.0-6.5 และดินต้องมีการระบายน้ำได้ดี ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ทนต่อความเย็นจัด พืชสามารถทนต่อไอเค็ม อัตราการเจริญเติบโตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบสีเขียวทั้งหมด เป็นไม้ที่แข็งแรงในสภาพที่เหมาะสม การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ทำให้ดินชื้นเล็กน้อย ยิ่งมีแสงแดดมากเท่าใดก็ยิ่งรดน้ำบ่อยขึ้นเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว ลดการให้น้ำน้อยลง การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบแห้งใบเหลืองและต้นแก่ในกอที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกสัปดาห์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพืชได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าเหง้านั้นแข็งแรงและมีสุขภาพดีรวมทั้งให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการออกดอก อย่าใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน/รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป และดินมีการระบายน้ำที่ไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ดอกไม้กินได้ -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่ยอดเยี่ยมสำหรับสวนหรือภูมิทัศน์ สวนสาธารณะและสวนขนาดเล็ก เหมาะปลูกเป็นกลุ่มหรือเป็นฉากหลังหรือแนวเขต สามารถปลูกประดับเป็นไม้กระถางและในภาชนะขนาดใหญ่ได้ -ใช้เป็นยา ได้รับการปลูกฝังในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกสำหรับยาแผนโบราณ เหง้าใบและลำต้นของพืช ใช้ในการรักษาไข้โรคบิด หอบ หืด หลอดลม ปอดบวมโ รคไขข้อและการอักเสบ -อื่น ๆได้รับการกล่าวถึงใน Kama Sutra ว่าเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางสำหรับขนตา ฤดูกาลออกดอก---ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ขยายพันธุ์---โดยการแบ่งกอ การปักชำกิ่งหรือจากส่วนของเหง้า
เอื้องอินโด/Costus woodsonii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Costus woodsonii Maas (1972) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See https://www.gbif.org/species/176756600 ชื่อสามัญ--Red Button Ginger,Red cane, Indian Head Ginger, Scarlet Flag, Scarlet Spiral Flag, Scarlet spiral-ginger, Dwarf cone ginger, Panama candle plant, Panamanian candle ginger, ชื่ออื่น--เอื้องหมายนาดอกแดง, เอื้องอินโด ;[HAWAII: Awapuhi (Iikini po'o)];[THAI: Ueang maina dok daeng, Ueang indo.] ชื่อวงศ์---COSTACEAE EPPO Code---CQTWO (Preferred name: Costus woodsonii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เขตกึ่งเขตร้อนของเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา; โคลัมเบีย คอสตาริกา นิคารากัว ปานามา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Costus' ให้ชื่อสกุลเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ Dioscoridesที่อธิบายถึงพืชซึ่งถือว่าคล้ายกันโดยใช้ชื่อ 'Kostos' ; ชื่อของสายพันธุ์ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน Robert Everard Woodson (1904-1963) ภัณฑารักษ์พืชสมุนไพรของสวนพฤกษศาสตร์ Missouri Botanical Garden ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโคลัมเบีย คอสตาริกา นิคารากัว ปานามา เติบโตในป่าเปิดตามแนวชายฝั่ง ที่ระดับความสูง 0-130 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-2 เมตรหรืออาจสูงได้ถึง 3 เมตร ใบเรียงเป็นเกลียวรูปไข่ถึงรีมีปลายแหลม ยาว 8-25 ซม. และกว้าง 4-10 ซม. มีสีเขียวเข้มเป็นมันเงาด้านบน ด้านล่างสีซีด ช่อดอกออกที่ปลายเป็นรูปไข่ถึงปลายแหลมยาว 5-15 ซม.และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม.กาบใบสีแดงเข้มมันวาว ด้านในผลิดอกออกเป็นช่อกระเทยมีสีส้มเป็นท่อถึงกลีบดอกสีส้มแดง ยาว 3 ซม.ดอกทนทาน อยู่ได้หลายสัปดาห์ ผลเป็นแคปซูลทรงรีสีขาว ยาวประมาณ 1 ซม. มีเมล็ดสีดำมีเนื้อสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เขตร้อนชื้นถึงภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งดีที่สุดในแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ควรได้รับแสงแดดโดยตรง 3-5 ชั่วโมงทุกวัน สามารถทนแดดได้เต็มที่ ชอบดินร่วนชื้นที่อุดมสมบูรณ์ pH 6.0-6.5 และดินต้องมีการระบายน้ำได้ดี ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ทนต่อความเย็นจัด พืชสามารถทนต่อไอเค็ม อัตราการเจริญเติบโตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบสีเขียวทั้งหมด เป็นไม้ที่แข็งแรงในสภาพที่เหมาะสม การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ทำให้ดินชื้นเล็กน้อย ยิ่งมีแสงแดดมากเท่าใดก็ยิ่งรดน้ำบ่อยขึ้นเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว ลดการให้น้ำน้อยลง การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบแห้งใบเหลืองและต้นแก่ในกอที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกสัปดาห์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพืชได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าเหง้านั้นแข็งแรงและมีสุขภาพดีรวมทั้งให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการออกดอก อย่าใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเพื่อการจัดสวน และใช้เป็นไม้ตัดดอก ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2014) ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ แยกหน่อ
เอื้องหมายนาดอกชมพู/Costus fissiligulatus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Costus phyllocephalus K.Schum.(1892) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Costus fissiligulatus Gagnep.(1902) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/796353-1#synonyms ชื่อสามัญ---African Princess, Cameroon Costus, Cameroon Pink Ginger ชื่ออื่น---เอื้องหมายนาดอกชมพู ;[SPANISH: Flor amarilla.];[THAI: Ueabg maina dok chomphoo.] ชื่อวงศ์ --COSTACEAE EPPO Code---SLAPH (Preferred name: Costus phyllocephalus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---กาบอง แคเมอรูน คองโก ไนจีเรีย เบนิน Costus phyllocephalus เป็นสายพันธุ์ของพืชออกดอกในครอบครัววงศ์เอื้องหมายนา (C0staceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2435 -John Banta เป็นนักสำรวจพืชในฟลอริดานำสายพันธุ์นี้จากแอฟริกาตะวันตกไปยังฟลอริดา -Glenn Stokes จาก Stokes Tropicals ในหลุยเซียน่า ตั้งชื่อว่า "African Princess"
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน แอฟริกาตะวันตกเขตร้อน (กาบอง แคเมอรูน คองโก ไนจีเรียตอนใต้และเบนิน) พบในป่า ที่ระดับความสูง 500-800 เมตร ลักษณะ ลำต้นเรียวยาวในกอขนาดใหญ่ตั้งตรงมาก ต้นสูง 0.90-1.20 เมตร มีใบเป็นเกลียวสีเขียว มีความยาว 20 ซม.และกว้าง 7.5 ซม.ปลายช่อเป็นรูปรีถึงกลม กาบมีสีเขียวและมีดอก1ดอกรูปทรัมเป็ตสีชมพู สวยคลาสสิค โคนกลีบดอกสีเหลือง ดอกขนาดประมาณ 7.5 ซม. หลังจากบานแล้วมันสามารถสร้าง keikis (หรือต้นอ่อน) ที่ฐานของช่อดอก ปล่อยให้เคคิสโตพอที่จะงอกรากที่แข็งแรงแล้วแยกจากต้นแม่มาปลูกในกระถางแยกกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นถึงภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน ตำแหน่งดีที่สุดในแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ควรได้รับแสงแดดโดยตรง 3-5 ชั่วโมงทุกวัน สามารถทนแดดได้เต็มที่ ชอบดินร่วนชื้นที่อุดมสมบูรณ์ pH 6.0-6.5 และดินต้องมีการระบายน้ำได้ดี ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ทนต่อความเย็นจัด พืชสามารถทนต่อไอเค็ม อัตราการเจริญเติบโตน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรูปแบบสีเขียวทั้งหมด เป็นไม้ที่แข็งแรงในสภาพที่เหมาะสม การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ ทำให้ดินชื้นเล็กน้อย ยิ่งมีแสงแดดมากเท่าใดก็ยิ่งรดน้ำบ่อยขึ้นเท่านั้น ในช่วงฤดูหนาว ลดการให้น้ำน้อยลง การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบแห้งใบเหลืองและต้นแก่ในกอที่แน่นเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุกสัปดาห์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพืชได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าเหง้านั้นแข็งแรงและมีสุขภาพดีรวมทั้งให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการออกดอก อย่าใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน/รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป และดินมีการระบายน้ำที่ไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ในการจัดตกแต่งภูมิทัศน์ สวนสาธารณะ และสวนทั่วไป สามารถปลูกประดับเป็นไม้กระถางได้ดี -ค่อนข้างหายากในการค้าพืช ดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพืชชนิดนี้ ระยะออกดอก---ฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ผลิ ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ แยกหน่อ แยกต้นอ่อนที่ฐานของช่อดอก
ม่วงนที/Dichorisandra penduliflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dichorisandra penduliflora Kunth (1843) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Stickmannia penduliflora (Kunth) Kuntze.(1891) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:172634-1 ชื่อสามัญ---Weeping Blue Ginger, Dwarf Weeping Blue Ginger, Blue Pendant ชื่ออื่น---ม่วงนที ; [THAI: Mouang na-thi.] ชื่อวงศ์---COMELINACEAE EPPO Code---DHASS (Preferred name: Dichorisandra sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล Dichorisandra penduliflora เป็นสายพันธุ์ของพืชออกดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2386
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล (Bahia และ Espirito Santo) ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุ หลายปี มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นอ่อนเป็นข้อปล้องกลมแตกกิ่งก้านด้านข้าง สูงได้ถึง 0.60 -1.2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอดสีเขียวเข้มรูปใบหอก ยาว 7-10 ซม ปลายใบแหลม โคนใบมน ก้านใบสั้น โคนก้านใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ช่อดอกยาวและห้อยลง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยกว้าง 1.5 -2 ซม.สีน้ำเงินเข้ม หรือสีม่วงคราม มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบและกลีบดอก 3 กลีบ กลางดอกมีเกสรเป็นกระจุกสีขาวปนเหลือง ผลไม้มีเนื้อสีส้มแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เติบโตได้ดีในที่มีแสงแดดครึ่งวันเช้า (4-6ชั่วโมง) หรือร่มรำไร อุณหภูมิในร่มขั้นต่ำ 15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิที่ต่ำกว่านี้จะขัดขวางวงจรการออกดอก ต้องการน้ำปานกลาง ขึ้นได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทราย แต่ปรับได้กับดินทุกประเภท pH 5-6 ดินชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดีการบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนรดน้ำเมื่อดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---หลังจากหมดช่วงดอกบานแล้ว การตัดต้นไม้กลับไปหนึ่งในสาม (เหลือลำต้นประมาณ 8 ถึง 12 นิ้ว) หรือการลิดใบเพื่อการเจริญเติบโตใหม่จะทำให้พืชฟื้นคืนชีพ เพิ่มโอกาสในการออกดอกในช่วงต่อไป การใส่ปุ๋ย---ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก สามารถเพิ่มปุ๋ยหมักลงในดินได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ระวังหอยทาก/อ่อนแอต่อโรคใบจุด รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป และดินมีการระบายน้ำที่ไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สวนทั่วไป นิยมปลูกลงแปลงเป็นกลุ่มหรือปลูกในกระถาง เป็น house plant รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ระยะออกดอก---เกือบตลอดทั้งปี (ออกดอกดกในฤดูหนาว) ขยายพันธุ์---เมล็ด แบ่งกอ ปักชำ
ผีเสื้อราตรี/Oxalis triangularis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oxalis triangularis A. St.-Hil.(1825) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms ---Oxalis palustris var. major A.St.-Hil.(1825) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl/record/tro-23700250 ชื่อสามัญ---Love Plant, False shamrock, Purple shamrock, Scurvy plant, Triangeloxalis, Wood sorrel. ชื่ออื่น---ผีเสี้อราตรี, ปีกผีเสื้อ ;[CHINESE: Sānjiǎo zǐ yè cù jiāng cǎo.];[GERMAN: Dreieckiger Glücksklee, Roter Dreiecksklee.];[ITALIAN: Ossalide triangolare.];[NORWEGIAN: Sommarfuglgaukesyre, Sommerfuglgjøkesyre, Sommerfuglkløver.];[POLISH: Szczawik trójkątny.];[SWEDISH: Triangeloxalis.];[THAI: Phi suea ratri, Peek Phi suea.] ชื่อวงศ์---OXALIDACEAE EPPO Code---OXATG (Preferred name: Oxalis triangularis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-อาร์เจนติน่า โบลิเวีย บราซิล ปรากวัย เปรู Oxalis triangularis เป็นสายพันธุ์ของไม้ยืนต้น พืชในครอบครัววงศ์ผักแว่น หรือวงศ์กระทืบยอด (Oxalidaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin François César Prouvençal de Saint-Hilaire (1779–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2368 มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ ;- - Oxalis triangularis subsp. papilionacea (Hoffmanns. ex Zucc.) Lourteig.(1983) - Oxalis triangularis subsp. triangularis A.St.-Hil.(1825)
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหลายประเทศทางตอนใต้ของอเมริกาใต้ บราซิล โบลิเวีย อาร์เจนตินาและปารากวัย เติบโตตามธรรมชาติท่ามกลางโขดหินใกล้ลำธาร ที่ระดับความสูง 5- 600 เมตร ถูกแนะนำ(เพาะปลูก)ในในประเทศสหรัฐอเมริกาในรัฐฟลอริดาและลุยเซียนา ลักษณะ ผีเสื้อราตรีเป็นไม้ยืนต้น สูง 20-30 ซ.ม.ลำต้นสั้น และมีรากสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน ยาว 5 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 10 - 15 มม. มีเกล็ดปกคลุม ใบประกอบแบบนิ้วมือ แบบมีใบย่อย มี 3-4 ใบ รูปไข่กลับเป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยม (2–) 3–5 (–6) ซม.กลีบแผ่นใบพับขึ้นเล็กน้อย จัดอยู่ในระนาบเดียวกันตั้งฉากกับก้านใบ ใบสีม่วงแดง ก้านใบยาวและอ่อนโค้งยาว 15-25 ซม. ใบจะคลื่อนไหวตาม ระดับ แสงโดยเปิดในที่มีแสงมาก (ในตอนกลางวัน) และปิดในที่มีแสงน้อย (ในตอนกลางคืน) ดอกออกเป็นช่อคล้ายแบบช่อซี่ร่ม เป็นดอกสมบูรณ์เพศ [Hermaphrodite (มีอวัยวะทั้งเพศผู้และเพศเมีย).] มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบมีขนหนาแน่นกลีบดอก 5 กลีบ สีชมพูอ่อน, สีขาว หรือสีม่วงอ่อน ขนาด 15-22 ม.ม.ผลแบบแคปซูลรูปไข่ ขนาด 12-18 ม.ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแแหน่งที่มีแสงแดดรำไร หรือแสงแดดส่องทางอ้อมกับอุณหภูมิที่ร่มเย็น 15 ° C สามารถทนต่ออุณหภูมิภายในอาคารที่สูงขึ้นได้ แต่จะเข้าสู่การพักตัวก่อนเวลาอันควรและ / หรือเริ่มมีลักษณะ "เหนื่อย" หากอุณหภูมิสูงเกิน 27 ° C เป็นระยะเวลานาน ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ เหมาะสำหรับดินที่เป็นกรดเป็นกลางและเป็นด่าง ปรับตัวได้ทั้งในดินแห้งและชื้นแต่มีการระบายน้ำดี พืชที่โตเต็มที่จะถูกตัดกลับสู่ดินทุกๆ 3-5 ปีในช่วงต้นฤดูร้อนหรือในช่วงพักตัว การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง ช่วงฤดูพักตัวของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้รดน้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งนั้นต่ำถึงไม่มีเลย กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออกเพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าทุก3 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่แล้ว พืชค่อนข้างไม่มีปัญหา ระวัง เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์ รักษาศัตรูพืชทั้งสองด้วยการฉีดพ่นทั้งสองด้านของใบไม้และบริเวณอื่น ๆ ด้วยสบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดา ทำการรักษาซ้ำตามคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์ /อาจมีปัญหา ราแป้ง โรคราสนิม รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบกินดิบหรือสุกมีรสเปรี้ยวเนื่องจากมีกรดออกซาลิก ใบไม้และดอกไม้สามารถใช้ตกแต่งสลัด เมื่อบริโภคใบไม้ในปริมาณมากขึ้นกรดออกซาลิกอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เหง้ากินดิบหรือสุกมีรสหวาน -ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้กระถาง หรือปลูกลงกระถางแขวน หรือปลูกเป็นกลุ่มเป็นแปลงในที่รำไร รู้จักอ้นตราย---พืชมีกรดออกซาลิก เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์เมื่อบริโภคในปริมาณมาก ได้รับรางวัล---สายพันธุ์ย่อย Oxalis triangularis subsp papilionaceaได้รับรางวัล Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit. ระยะออกดอก---เมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ เหง้า
|
บอนสี (Caladium)
สกุลคาลาเดียม/Caladium bicolor (Ait.)Vent
บอนสีได้รับการยกย่องว่าเป็นราชินีแห่งไม้ใบ ชาวไทยมีวิธีพิสดารในการปลูกเลี้ยงบอนสี มาแต่โบราณหวงกันมากอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้ทำให้บอนสีมีน้อย ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ทุกส่วนอวบน้ำ มีลำต้นจริงเป็นหัวสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน บนหัวมีตาเล็กๆเรียกว่า "เขี้ยว" ซึ่งสามารถผลิใบและเจริญเติบโต หรือนำมาขยายพันธุ์ต่อไป รูปใบแบ่งได้ตามลักษณะใบตามลักษณะใหญ่ๆได้ 4 แบบคือ ใบไทย ใบยาว ใบกลม และใบกาบ สำหรับช่อดอก มีสีสันไม่สะดุดตา ผลิบานและมีกลิ่นหอมในเวลากลางคืน ดอกเพศผู้จะบานก่อนดอกเพศเมีย ดังนั้นจึงมีโอกาสผสมข้ามพันธุ์ได้ง่าย หลังผสมเกสรจะติดผลทรงกลมอยู่รอบฐานดอกเมื่อสุกจะมีสีแดงคล้ำ สามารถนำมาขยายพันธุ์ต่อไปได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปบอนสีจะชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี ระวังอย่าให้ดินแฉะเกินไปชอบดินที่มีอินทรียวัตถุสูง มีความชื้นในอากาศมากและ แสงแดดรำไร ในอดีตเซียนปลูกเลี้ยงบอนสีนิยมใช้ดินเลนตามท้องร่องสวน มาบดผสมกับใบไม้ผุต่างๆเช่น ใบก้ามปู ใบทองหลาง ดินขุยไผ่ และหากต้องการให้บอนสีสดขึ้น ต้องทำให้ดินมีค่าเป็นกรดอ่อนๆ โดยนำดินมาผสมกับใบมะขาม เพื่อเพิ่มความเป็นกรดให้กับดิน เนื่องจากบอนสีในไทยมีไม่กี่พันธุ์ที่พอจะปลูกเลี้ยงเป็นไม้ประดับเพื่อการ จัดสวน จึงขอกล่าวถึงแต่พันธุ์ที่เลี้ยงง่ายตายยาก ต่อไปนี้จะเป็นบอนต้นที่เรานำมาใช้ในการจัดสวนในที่ร่มรำไรเสมอๆ
|
พระยาเศวต/Caladium humboldtii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caladium humboldtii (Raf.) Schott (1854) ชื่อพ้อง --- Has 4 Synonyms ---Basionym: Podospadix humboldtii Raf.(1838) ---Caladium argyrites Lem.(1858) ---Caladium myriostigma K.Koch.(1862) ---Caladium humboldtii var. myriostigma (K.Koch) Engl.(1879) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl/record/kew-28872 ชื่อสามัญ--- Homboldt caladium, Mini Variegated Caladium, Angel's wings, Fancy leaf caladium, Miniature caladium. ชื่ออื่น---ว่านพญาปัจเวก, พญาเศวต, พระยาเศวต ; [SWEDISH: Dvärgkaladium.];[THAI: Praya sawait, Phaya sawait, Wan Phaya patchawek.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---CLFHU (Preferred name: Caladium humboldtii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ อเมริกากลาง ; บราซิล อาร์เจนติน่า แอฟริกา ประเทศและหมู่เกาะต่างๆในเขตร้อน นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล Caladium มีรากศัพท์มาจากภาษา มาลาดิมลายู ต้นกำเนิดมาจากชื่อในอเมริกาใต้ของพืชเหล่านี้ ("kale" หรือ "kaladi") ; ชื่อสายพันธุ์ "humboldtii" ได้รับการตั้งชื่อตาม Alexander von Humboldt (1769 - 1859) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวเยอรมันที่บันทึกพรรณไม้ในละตินอเมริกา Caladium humboldtii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์ Araceae สกุลบอนสี (Caladium) สายพันธุ์นี้ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Constantine Samuel Rafinesque-Schmaltz (1783–1840) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส - อเมริกันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปีพ.ศ.2397 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้และหมู่เกาะเวสต์อินดีส ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกต้นไม่สูงมาก ประมาณ 10-20 ซม.มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวแบบเผือก หัวกลม ขนาดประมาณ 8 มม ใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบรูปหัวลูกศร ยาว 10 - 14 ซม. กว้าง 4 -7 ซม.ปลายใบมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างบางสีเขียว มีลายแต้มสีขาวกระจายทั่วแผ่นใบ เส้นกลางใบลักษณะเป็นร่องตื้นสีขาว ก้านใบทรงกระบอกสีเขียวปนน้ำตาล ช่อดอกออกตามซอกใบแบบช่อเชิงลดมีกาบ ดอกขนาดเล็กสีขาว (สายพันธุ์นี้ยากจะผลิตดอกหรือผลในการเพาะปลูก) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดครึ่งวันเช้าหรือแสงแดดรำไร แสงโดยอ้อม (ในอาคาร) เต็มถึงร่มเงาบางส่วน (กลางแจ้ง) ชอบดินร่วนปนทรายที่มีอินทรียวัตถุสูงระบายน้ำดี ค่า pH ของดินคือเป็นกรดเล็กน้อยที่ 5.5 ถึง 6.2 มีความทนทาน อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ให้รดน้ำเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ระวังอย่ารดน้ำต้นไม้มากเกินไป และอย่าปล่อยให้ดินแห้งเป็นเวลานาน ช่วงฤดูพักตัวในฤดูหนาวให้หยุดการให้น้ำเมื่อใบไม้เริ่มตาย การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยพืชทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูกด้วยปุ๋ย น้ำ หรือใช้ปุ๋ยเม็ดละลายช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---อาจถูกหนอนผีเสื้อและตั๊กแตนกัดกินใบไม้และต้องการวิธีเฉพาะในการกำจัดกิจกรรมนี้ แมลงศัตรูพืชอื่นๆ ที่ดูดกินใบ และสามารถกำจัดได้ด้วยสบู่ฆ่าแมลง ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไร เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว/ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหากพืช ได้รับน้ำมากเกินไป (น้ำขังแฉะ) ได้รับแสงมากเกินไป หรือประสบกับความเครียดจากอุณหภูมิและความชื้น หรือพืชอาจประสบกับภาวะขาดธาตุอาหาร เช่น ขาดแมกนีเซียม ไนโตรเจน หรือธาตุเหล็ก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ จัดเป็นไม้มงคลและไม้ใบด่างที่นิยมนำไปปลูกเป็นไม้ประดับสวน สามารถใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง -ใช้เป็นยา นำหัวมาตำผสมเหล้า ทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย บ้างว่าใช้แก้พิษงู พิธีกรรม/ความเขื่อ---ว่านชนิดนี้ปลูกเลี้ยงกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตามบ้านขุนนางใหญ่ เพื่อประดับบารมี ปัจจุบันมีความเชื่อว่า ว่านพระยาเศวต จะช่วยในเรื่องของความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง และเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป รู้จักอันตราย---มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตในรูปของ raphides เมื่อบริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำการก่อตัวของถุงน้ำ และอาการกลืนลำบากพร้อมกับอาการแสบร้อนและแสบร้อนที่ปากและลำคอ โดยมีอาการเกิดขึ้นนานถึงสองสัปดาห์หลังจากการกลืนกิน ขยายพันธุ์---ด้วยหัวหรือเหง้า
|
บอนอาจารย์ฮกหลง /Caladium ‘ThaiBeauty’
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caladium 'Thai Beauty' ชื่อสามัญ---Angel Wings, Fancy-Leaved Caladium, Heart of Jesus 'Thai Beauty', Pink Cloud ชื่ออื่น---ฮกหลง, อาจารย์ฮกหลง ;[THAI: Hok Long.] Cultivar---Thai Beauty Cultivar group----Hybrid, Thai Caladium Additional cultivar information---(aka Hoklong) EPPO Code---1CLFG (Preferred name: Caladium) ชื่อวงศ์---ARACEAE Caladium 'Thai Beauty' เป็นไม้สกุล Caladium ในวงศ์บอน (Araceae) เป็นหนึ่งในลูกผสมคาลาเดียมที่เกิดในประเทศไทย ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นที่มีหัวเช่นเดียวกับเผือกเหมือนบอนสีอื่นๆ สูงได้ถึง 0.90 ซม.เป็นบอนใบยาว ใบคล้ายรูปใบโพธิ์ หูใบสั้น พื้นใบสีชมพู กระดูกและเส้นสีเขียวและขาว พร่าสีขาว ขอบใบขลิบสีเขียวเข้ม ใบแก่จะมีสีเขียวเข้มขึ้นเกือบทั้งใบ ก้านใบสีดำ ไม่มีดอก ข้อกำหนดสิ่่งแวดล้อม---เป็นพืชที่ต้องการแสง เพื่อสร้างเม็ดสี แต่แสงจะต้องมีวัสดุมาพรางไว้ประมาณ 50 % อุณหภูมิ ประมาณ 18 - 24 °C ดินร่วนอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์ มีการระบายน้ำได้ดี มีค่า pH เป็นกรดเล็กน้อย (pH 6.0-6.5) ชอบความร้อนชื้น ต้องการความชื้นสูง หากความชื้นในสภาพแวดล้อมลดลงต่ำกว่า 40% ต้นไม้ชนิดนี้อาจสูญเสียสีสันที่สวยงามไป ถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรฉีดพ่นน้ำให้ที่ใบบ่อยๆ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากไม่ถึงกับแฉะ ควรรดน้ำให้พอดีและสม่ำเสมอ รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง ช่วงฤดูพักตัวของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้รดน้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าทุก3 เดือน ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยหรือรดน้ำมากในช่วงพักตัว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีเพียงเพลี้ยเท่านั้นสำหรับพืชชนิดนี้ สามารถกำจัดได้ด้วยการฉีดพ่นด้วยน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ฮกหลงเป็นบอนที่สวยงามชนิดหนึ่ง คุณสมบัติหลักคือใบไม้ที่สวยงามที่ทำให้เกิดการปกคลุมของใบไม้ จะเห็นใบไม้สีชมพูที่สวยงามได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วง พิธีกรรม/ความเขื่อ---ในสมัยโบราณปลูกเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกใส่กระถางไว้หน้าบ้านและเชื่อว่าจะทำให้บ้านที่ปลูกใว้จะมีแต่ความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ผู้อาศัย รู้จักอันตราย---มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตในรูปของ raphides เมื่อบริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำการก่อตัวของถุงน้ำ และอาการกลืนลำบากพร้อมกับอาการแสบร้อนและแสบร้อนที่ปากและลำคอ โดยมีอาการเกิดขึ้นนานถึงสองสัปดาห์หลังจากการกลืนกิน ขยายพันธุ์---ด้วยหัวหรือเหง้า
|
ซันโตโซม่า/Caladium lindenii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caladium lindenii (Andre) Madison.(1981) ชื่อพ้อง--- Has 4 Synonyms ---Basionym: Phyllotaenium lindenii André (1872). ---Xanthosoma lindenii (André) T.Moore(1872) ---Phyllotaenium lindenii var. magnificum Pynaert (1886). ---Caladium lindenii var. sylvestre Grayum.(1986). ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/40313-2#synonyms ชื่อสามัญ ---Indian-kale, Spoonflower, Angel’s Wing, White Vein Arrow Leaf. ชื่ออื่น---ซันโตโซม่า (Xanthosoma) ;[FRENCH: Chou indien.];[SPANISH: Ala de ángel, Caladio.];[SWEDISH: Zebrakaladium.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---CLFLI (Preferred name: Caladium lindenii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ ประเทศในเขตร้อนชื้น ที่ระดับความสูง 30-1,030 เมตร นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'lindenii' ตั้งชื่อตามJean Jules Linden (1817 –1898) นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม Caladium lindenii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Éduard-FrançoisAndré (1840-1911) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Michael T. Madison (born 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2524 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่อยู่ในโคลอมเบียและปานามา ลักษณะ ลำต้นเป็นหัวสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน ต้นสูงประมาณ 0.50 – 1.00 เมตร มีใบเป็นรูปหัวใจ เส้นใบสีขาวเป็นลายก้างปลา ก้านใบแบนด้านบนสีเขียวมีแถบสีม่วงปกคลุมประปราย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดทางอ้อมหรือร่มรำไร อยู่ในที่รำไรใบจะสวยมาก แดดแรงเกินใปริมใบจะไหม้ อุณหภูมิระหว่าง 18°C – 21°C และไม่ต่ำกว่า 15ºC ดินที่ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี อุดมสมบูรณ์ด้วยวัตถุอินทรีย์และเป็นกรดอ่อน ๆ pH 6.0-6.5 ต้องการความชื้นสูงมากกว่า 50% การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง ช่วงฤดูพักตัวของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้รดน้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำเจือจาง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าทุก3 เดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่แล้ว พืชค่อนข้างไม่มีปัญหา ระวัง เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์ รักษาศัตรูพืชทั้งสองด้วยการฉีดพ่นทั้งสองด้านของใบไม้และบริเวณอื่น ๆ ด้วยสบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดา ทำการรักษาซ้ำตามคำแนะนำบนฉลากของผลิตภัณฑ์ /อาจมีปัญหา ราแป้ง โรคราสนิม รากเน่าอาจเกิดขึ้นจากน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับตกแต่งภายในหรือเป็น house plant รู้จักอันตราย---มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตในรูปของ raphides เมื่อบริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำการก่อตัวของถุงน้ำ และอาการกลืนลำบากพร้อมกับอาการแสบร้อนและแสบร้อนที่ปากและลำคอ โดยมีอาการเกิดขึ้นนานถึงสองสัปดาห์หลังจากการกลืนกิน การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหัว การปักชำลำต้น
|
กระหนกนฤมิต/Cercestis mirabilis
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cercestis mirabilis (N.E.Br.) Bogner (1986) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Basionym: Rhektophyllum mirabile N.E. Br.(1882). ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-37213 ชื่อสามัญ---Juvenile leave blade, The African Embossed Plant, African Embossed Cercestis ชื่ออื่น---กระหนกนฤมิต, กนกนฤมิต ;[THAI: Kra nok na rue mit, Kanok naruemit.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---RKTMI (Preferred name: Cercestis mirabilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แองโกลา เบนิน คองโก กาบอน ไนจีเรีย อูกานดา นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'mirabilis' = great, marvellous Cercestis mirabilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Nicholas Edward Brown (1849–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Josef Bogner (1939- 2020) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2529 ที่อยู่อาศัย พบในแอฟริกาตะวันตก (กาบอง อูกันดา แคเมอรูน อิเควทอเรียล กินี ซาอีร์ เบนิน ไนจีเรีย และแองโกลา) ในธรรมชาติพบตามป่าร้อนชื้น ที่ราบต่ำที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร แพร่กระจายไปตามประเทศในเขตร้อนด้วยการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น epiphytic มักพบเลื้อยขึ้นตามลำต้นของต้นไม้ใหญ่สูงได้ถึง สูง 7-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ซม.มีรากยาวซึ่งห้อยลงมาที่พื้นจากกิ่งก้านสูงบนต้นไม้โฮสต์ นอกจากนี้ยังเติบโตในดินและป่าชนิดนี้เรียกว่า hemiepiphytic เป็นพืชที่เริ่มต้นชีวิตด้วยเมล็ดพันธุ์ที่หล่นลงบนดินซึ่งจะเลื้อยขึ้นบนลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงแยกออกไปเป็นต้นใหม่ได้ รากสามารถเกาะจับยึดแนบกับต้นไม้อื่น ใบคล้ายใบบอนสี พื้นที่สีขาวในใบ (maculate) ของต้นอายุน้อยจะพองและยกขึ้นเหนือพื้นที่สีเขียวเข้ม สีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อย ลวดลายบนใบไม้เรียกได้ว่าเป็น maculate ซึ่งแปลว่า "มีตำหนิ" เมื่อต้นอายุมากขึ้นลวดลายที่น่าสนใจจะจางหายไป ผลมีเนื้อสีแดงมักไม่ค่อยเห็น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืฃต้องการแสงสว่างโดยให้ร่มเงาประมาณ 60% พร้อมกับการรดน้ำบ่อย ๆ และความชื้นสูงโดยคงไว้ที่ 85%ตลอดเวลาใบสวยงามมากเมื่ออยู่ในที่มีแสงแดดรำไร ให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอแต่ไม่ขังแฉะ อ้ตราการเจริญเติบโต ช้า การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง ช่วงฤดูพักตัวของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้รดน้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอย่างน้อยปีละสองครั้งด้วยปุ๋ยละลายช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปไม่มีศัตรูพืชและโรค ระวัง ไรแดง แมลงหวี่ และเพลี้ยไฟ อาจพบได้ ใช้ประโยชน์---เป็นพืชถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของเส้นใย -ใช้กิน ใบอ่อนและช่อดอก - ปรุงสุกและกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ในแอฟริกา ใบปรุงในเนยที่ทำจากถั่วโมบิ (Baillonella toxisperma) ร่วมกับเชื้อราที่ไม่ระบุรายละเอียดและใช้กินเพื่อรักษาตับ ใบใช้ร่วมกับเปลือกของต้นไม้ต่าง ๆ เหง้าของ Sarcophrynium และเมล็ดพริกเพื่อรักษาโรคเดียวกัน -น้ำคั้นจากใบจะถูกนำมาร่างด้วยดินขาวพริกไทยเมเลเกตา (Aframomummelegueta)และเกลือสินเธาว์เพื่อรักษาอาการหัวใจและหยุดอาเจียน -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ประดับตกแต่งภายในหรือเป็น house plant -อื่น ๆ รากก้านยาวใช้ผูกมันเทศ แกนกลางเส้นใยของรากใช้เป็นสายเบ็ด รู้จักอันตราย---มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตในรูปของ raphides เมื่อบริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำการก่อตัวของถุงน้ำ และอาการกลืนลำบากพร้อมกับอาการแสบร้อนและแสบร้อนที่ปากและลำคอ โดยมีอาการเกิดขึ้นนานถึงสองสัปดาห์หลังจากการกลืนกิน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
PIPERACEAE
เป็นพืชวงศ์พริกไท มีประมาณ 3,600ชนิด สายพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน 13 สกุล สามารถพบได้ในสองสกุลหลักได้แก่ ไพเพอร์ (2000 ชนิด) และ เปปเปอโรเมีย (1600 ชนิด) พืขในวงศ์นี้อาจเป็น ไม้พุ่มเล็ก ไม้เลื้อยหรือสมุนไพร ที่รู้จักกันดีคือ พริกไทขาว พริกไทดำ
เปปเปอร์โรเมีย/Peperomia obtusifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Peperomia obtusifolia (L.) A. Dietr. (1831) ชื่อพ้อง ---Has 18 Synonyms ---Basionym: Piper obtusifolium L (1753) ---Peperomia floridana Small.(1926) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2556304 ชื่อสามัญ ---American pepper plant, Baby rubber plant, Pepper face, American Rubber Plant, Florida Peperomia, Oval-leaf peperomia. ชื่ออื่น---เปปเปอร์โรเมีย; [FRENCH: Malenbé.];[GERMAN: Fleischige Peperomie.];[SWEDISH: Fredsgrönska.];[THAI: Peperomia.]. ชื่อวงศ์---PIPERACEAE EPPO Code---PEOOB (Preferred name: Peperomia obtusifolia.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ฟลอริดา เม็กซิโก แคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Peperomia' มาจากคำภาษากรีก'peperi' = พริกไทและ 'homoios' = คล้ายกัน อ้างอิงถึงพืชที่มีลักษณะคล้ายและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพริกไทยดำแท้ ( Piper nigrum ) ; ชื่อสายพันธุ์ 'obtusifolia' จากภาษาละติน 'obtusus' หมายถึง "blunt-leaved" = ''ทื่อ'' และ 'folium' = ("leaf") Peperomia obtusifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Albert Gottfried Dietrich (1795–1856) นักพฤกษศาสตร์และนักชีววิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2374 ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดใน เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน และอเมริกาใต้ เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) เป็น epiphytes เติบโตในป่าฝน พบที่ระดับความสูง 0-1920 เมตร ลักษณะ ต้นตรงอวบน้ำ สีแดงเรื่อ สูง 10-20 ซม.ใบรูปรีถึงไข่กลับ กว้าง 4-5 ซม.ยาว 7-8 ซม.ปลายใบมน โคนใบสอบแคบ สีเขียวเข้ม ด้านหลังใบสีเขียวอ่อน ช่อดอกออกที่ซอกใบ ยาว 5.5-12.5 ซม.ตั้งตรง ดอกสีขาวและผลขนาดเล็ก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงจ้า (วันละ2-3ชั่วโมง) หรือแสงสว่างส่องทางอ้อม หรือที่ที่มีแสงแดดรำไร ดินอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำดี และความขื้นสูงสม่ำเมอ อุณหภูมิที่เหมาะสม 18-24º อุณหภูมิต่ำสุด 15 ° C การรดน้ำ---รดน้ำทุกๆ 2-3 วัน ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง ช่วงฤดูพักตัวของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้รดน้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยพืชทุกเดือนในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนด้วยปุ๋ยน้ำเจือจาง ห้ามใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะเป็นพืชที่ทนทานแม้ว่าบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากไรเดอร์ เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งได้ เช่นเดียวกับพืชในร่มส่วนใหญ่ การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ประดับสวนและนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือไม้แขวนในที่ร่มได้ ไดรับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) .(2018) ระยะออกดอก---ปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---การปักชำลำต้น ปักชำกิ่ง ปักชำใบ
เปปเปอร์โรเมียใบด่าง/Peperomia obtusifolia Variegata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Peperomia obtusifolia Variegata ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ ---Variegated Baby Rubber Plant, American Baby Rubber Plant ชื่ออื่น ---เปปเปอร์โรเมียใบด่าง;[THAI: Peperomia bai dang.] ชื่อวงศ์---PIPERACEAE EPPO Code---1PEOG (Preferred name: Peperomia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---อเมริกากลาง แคริเบียน อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก'peperi' = พริกไทและ 'homoios' = คล้ายกัน พืชมีลักษณะคล้ายและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพริกไทยดำแท้ ( Piper nigrum ); ชื่อสายพันธุ์ 'obtusifolia' หมายถึง "blunt-leaved" ''ใบทื่อ'' Peperomia obtusifolia Variegata เป็นความหลากหลาย (Varieties : รูปแบบพืชที่ผลิตในการเพาะปลูก) ของ Peperomia obtusifolia สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) สกุล Peperomia ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดในอเมริกากลางและแคริบเบียนและยังสามารถพบได้ทั่วไปในอเมริกาใต้ เติบโตในป่าฝนและเป็น epiphytes ลักษณะ ต้นตรงอวบน้ำ สีแดงเรื่อ สูง 15-20 ซม.ใบรูปรีถึงไข่กลับมันวาว กว้าง 4-5 ซม.ยาว 7-8 ซม.ปลายใบมน โคนใบสอบแคบ ใบหลากสี มีเฉดสีเขียวเข้มสีเขียวมะกอกและสีขาวครีม ด้านหลังใบสีเขียวอ่อน ริมขอบใบสีครีม ช่อดอกยาว 9-10 ซม.ดอกเดือยสีขาวแคบยาวตั้งตรงคล้ายหางหนู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงจ้า แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบสภาพแวดล้อมที่สดใสอบอุ่นและชื้น ทนอุณหภูมิต่ำสุด 10 °C ดินอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี ต้นไม้ชนิดนี้สามารถวางไว้ในบ้านใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดส่องถึงและใช้ถาดที่มีน้ำเต็มใต้กระถางเพื่อให้พืชชุ่มชื้น การรดน้ำ---ให้น้ำทุกๆ 1 ถึง 2 สัปดาห์ ตรวจสอบว่าดินแห้งก่อนรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---การให้ปุ๋ยให้ใช้ปุ๋ยน้ำเจือจางทุกๆ 2 สัปดาห์และเดือนละครั้งในช่วงฤดูร้อน ไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะเป็นพืชที่ทนทานแม้ว่าบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากไรเดอร์ เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งได้ เช่นเดียวกับพืชในร่มส่วนใหญ่ การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับในร่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ใช้ประดับสวนและนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือใช้เป็นไม้กระถางแขวน ไดรับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2018 ระยะออกดอก---ปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---การปักชำลำต้น ปักชำกิ่ง ปักชำใบ
เปปเปอร์โรเมีย ใบลายแตงโม/Peperomia argyreia
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Peperomia argyreia (Miq) E. Morren. (1867) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Peperomia arifolia var.argyreia Hook.f.(1867) [Invalid] ---Peperomia argyraea Hott (1865) ---Peperomia sandersii C. DC.(1869) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2556939 ชื่อสามัญ ---Watermelon Peperomia, Watermelon begonia. ชื่ออื่น---เปปเปอร์โรเมีย ใบลายแตงโม; [GERMAN: Silberblatt-Peperomie.];[JAPANESE: Shimaaoiso.];[LITHUANIA: sidabrinė peperomija.];[PORTUGUESE: Peperomia, Peperômia-melancia, Peperómia-prateada.];[SWEDISH: Radiatorört.];[THAI: Peperomia bai lai tangmo.];[VIETNAM: Cây lá sọc dưa hấu.] ชื่อวงศ์ ---PIPERACEAE EPPO Code---PEOAR (Preferred name: Peperomia argyreia.) ถิ่นกำเนิด--- ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ถึงบราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Peperomia' มาจากคำภาษากรีก 'peperi' = พริกไทและ 'homoios' = คล้ายกัน พืชมีลักษณะคล้ายและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพริกไทยดำแท้ (Piper nigrum) ; ชื่อสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'argyreia' หมายถึง "สีเงิน" Peperomia argyreia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Jacques Édouard Morren (1833 –1886) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม ในปี พ.ศ.2310 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองภาคเหนืออเมริกาใต้มีถิ่นกำเนิดในบราซิลรวมทั้งโบลิเวีย,เอกวาดอร์และเวเนซุเอลา ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ขึ้นเป็นกอสูง 15-25 ซม.ลำต้นสีแดง ใบรูปไข่ก้นปิด ค่อนข้างกลมไม่สมมาตร ขนาดของใบ 4-7ซม.ปลายใบแหลมแผ่นใบหนาเป็นมัน มีแถบสีเทาหรือสีเงินพาดตามแนวยาว ดอกเป็นช่อเชิงลด บนช่อดอกมีดอกเล็กๆสีเขียวอัดแน่น เป็นดอกแยกเพศ เมื่อติดผลจะเห็นเม็ดกลมๆติดอยู่บนข่อดอกจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงจ้า แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบสภาพแวดล้อมที่สดใสอบอุ่นและชื้น ทนอุณหภูมิต่ำสุด 10 °C ดินอุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี ต้นไม้ชนิดนี้สามารถวางไว้ในบ้านใกล้หน้าต่างที่มีแสงแดดส่องถึงและใช้ถาดที่มีน้ำเต็มใต้กระถางเพื่อให้พืชชุ่มชื้น การรดน้ำ---ให้น้ำทุกๆ 1 ถึง 2 สัปดาห์ ตรวจสอบว่าดินแห้งก่อนรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การตัดแต่งกิ่งต่ำถึงไม่มีเลย เพียงแต่กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก เพื่อป้องกันเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---การให้ปุ๋ยให้ใช้ปุ๋ยน้ำเจือจางทุกๆ 2 สัปดาห์และเดือนละครั้งในช่วงฤดูร้อน ไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูใบไม้ผลิ ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะเป็นพืชที่ทนทานแม้ว่าบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากไรเดอร์ เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งได้ เช่นเดียวกับพืชในร่มส่วนใหญ่ การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ที่มีคุณค่าในการเพาะปลูกในพื้นที่เขตอบอุ่นมักปลูกเป็นไม้กระถาง เหมาะสำหรับโต๊ะทำงานและโต๊ะที่มีแสงสว่างเพียงพอ ง่ายต่อการจัดวางบนชั้นวางและในสวนขวดขนาดใหญ่ ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก---ฤดูร้อน ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ หรือปักชำกิ่ง
หัวใจพลูด่าง/Peperomia serpens
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Peperomia serpens 'Variegata' ชื่อพ้อง--- Peperomia scandens ‘Variegata’ ชื่อสามัญ ---Cupid Peperomia, Peperomia ‘Orba’, Radiator plants , Vining Peperomia ชื่ออื่น---หัวใจพลูด่าง, ;[GERMAN: Pépéromia de Cupidon.];[THAI: Huachai pludang.]. ชื่อวงศ์ --- PIPERACEAE EPPO Code---1PEOG (Preferred name: Peperomia.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---ปานามา บราซิล เปรู และหมู่เกาะเวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Peperomia' มาจากคำภาษากรีก 'peperi' = พริกไทและ 'homoios' = คล้ายกัน พืชมีลักษณะคล้ายและเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพริกไทยดำแท้ (Piper nigrum) ; ชื่อสายพันธุ์ 'serpens' = Peperomia serpens 'Variegata' เป็นความหลากหลาย (Varieties : รูปแบบพืชที่ผลิตในการเพาะปลูก) ของ Peperomia serpens สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) สกุล Peperomia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ซึ่งส่วนใหญ่มักเติบโตใต้ต้นไม้ ป่าดิบเขาชื้น ขึ้นบนต้นไม้และตามซอกหิน ลักษณะ ลำต้นทอดเลื้อย รากออกตามข้อ ใบรูปไข่ถึงรูปรี กว้าง2-2.5ซม.ยาว3.5-4ซม.ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบบิดเล็กน้อย ใบสีเขียวอ่อนขลิบขาว ดอกออกเป็นช่อเชิงลดทรงกระบอกที่ซอกใบปลายยอดยาวประมาณ 3 ซม.ดอกแยกเพศ มักไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า วัสดุปลูกที่โปร่งเก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ความชื้นปานกลาง (30-70%) ปลูกเลี้ยงง่ายโตเร็ว การดูแลง่ายถึงปานกลาง การรดน้ำ---การให้น้ำที่แนะนำคือทุกๆ 7 ถึง 10 วัน ปล่อยให้ดินปลูกแห้งประมาณ 1 ถึง 2 นิ้วใต้พื้นผิวดินก่อนรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบไม้ที่ตายแล้วออก หลีกเลี่ยงการตัดแต่งกิ่งมากเกินไป ยอดที่ตัดนำไปปักชำใหม่ง่ายมาก การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยที่สมดุลเดือนละครั้งในช่วงฤดูปลูก อย่าใส่ปุ๋ยมากจนเกินไป เนื่องจากต้นไม้ต้องการปุ๋ยเพียงเล็กน้อยในการเจริญเติบโต โรคพืช/ศัตรูพืช---ส่วนใหญ่พืชมีความทนทานต่อศัตรูพืชและโรคอื่น ๆการให้น้ำมากเกินไปอาจนำไปสู่สภาวะต่างๆ เช่น โรคใบจุดหรือPythium นอกจากนี้ยังอาจดึงดูดเชื้อรา ริ้น เพลี้ยแป้ง หรือไร ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้กระถางแขวนหรือไม้คลุมดินในที่แสงแดดรำไร ขยายพันธุ์---ปักชำ
|
พลูลงยา/Piper ornatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Piper ornatum N.E.Br.(1884) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. No synonyms have been associated with this taxon yet. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2569220 ชื่อสามัญ---Celebes Pepper, Celebes pepper bush, Ornamental Pepper, Ornate Pepper Vine, Ornamental pepper vine. ชื่ออื่น---พลูลงยา ;[CHINESE: Guānshǎng hújiāo, Měi yè hújiāo.];[FRENCH: Piment d'ornement, Poivre des Célèbes.];[INDONESIA: Sirih merah.];[PORTUGUESE: Pimenta-das-Célebes.];[SWEDISH: Prydnadspeppar.];[THAI: Phlu long ya.] ชื่อวงศ์---PIPERACEAE EPPO Code---PIPOR (Preferred name: Piper ornatum.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินโดนีเซีย, Malesia (สุลาเวสี) นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Piper' จากภาษากรีกโบราณ πέπερι (péperi, “pepper”), จากภาษาสันสกฤต पिप्पलि (pippali, “Piper longum”) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'ornatum' = ตกแต่ง, ประดับ Piper ornatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicholas Edward Brown (1849–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2427 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเดนิดในอินโดนีเซีย, Malesia (สุลาเวสี) ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยลำต้นเล็กอายุหลายปีมีเถาเลื้อยสีน้ำตาลอมแดง มีรากพิเศษออกตามข้อ ใบรูปหัวใจ ขนาดกว้าง7-8ซม.ยาว7-12ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยว หรือเว้ารูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ สีเขียวคล้ำมีลายสีชมพูกระจายอยู่ทั่วไป เห็นเส้นใบชัด มีจุดสีขาวตามเส้นใบเกิดอยู่ระหว่างเส้นใบด้านบน ใต้ใบสีม่วงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในที่ที่มีแสงแดดรำไร ต้องการดินโปร่งเบาที่มีการระบายน้ำดีเยี่ยม พีทมอสหรือขุยมะพร้าวผสมกับเพอร์ไลต์จะเข้ากันได้ดีกับพืชชนิดนี้ ความชื้นสูงจะงามดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง พืชชนิดนี้ไม่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น แต่เป็นที่ต้องการของนักสะสมพืชตัวยงเนื่องจากความงามของมัน การรดน้ำ--- ไวต่อการรดน้ำมากเกินไป ปล่อยให้ผิวดินด้านบน 2"-3" แห้งก่อนรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---จะเลื้อยตามธรรมชาติ ดังนั้นต้นไม้ชนิดนี้จึงชอบมีตะไคร่น้ำเกาะเพื่อให้มันเลื้อยขึ้น คุณสามารถตัดแต่งกิ่งกลับได้หากต้องการให้ต้นดูมีพุ่มที่สมบูรณ์ขึ้นแทนที่จะเป็นแนวยาว ต้นไม้ชนิดนี้จะเต็มไปด้วยฝุ่น ดังนั้นควรเช็ดใบบ่อยๆ การใส่ปุ๋ย---ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเจือจางเดือนละครั้ง งดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน/รากเน่า ใช้ประโยชน์---มีสรรพคุณทางยาและความสวยงามของใบใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ -ใข้เป็นยา รักษาโรคเบาหวาน, ตับอักเสบ, เกาต์, นิ่วในไต, ลดคอเลสเตอรอล, ป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง, ตกขาว, การอักเสบของต่อมลูกหมาก, ตาอักเสบ, เป็นแผล, อ่อนเพลีย, ปวดข้อและทำให้ผิวหนังเรียบเนียน -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้ปลูกเป็นต้นไม้ในร่ม, ตะกร้าแขวน พืชชนิดนี้ยังเหมาะสำหรับสวนขวดเนื่องจากชอบความชื้น รู้จักอันตราย---แม้ว่า Piper Ornatum จะไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้สัตว์เลี้ยงกินพืชชนิดนี้ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนหรือคลื่นไส้ ระยะออกดอก---กรกฎาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---ปักชำกิ่ง
พลูเงิน/Piper sylvaticum
Picture: http://www.greensmile.ru/publ/ehnciklopedija/katalog_komnatnykh_rastenij/perec_piper/2-1-0-95 ชื่อวิทยาศาสตร์---Piper sylvaticum Roxb.(1820) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. ---Chavica sylvatica (Roxb.) Miq.(1843) ---Piper dekkoanum C.DC.(1923) ---Piper malmoris Wall.(1832) ---See all https://www.gbif.org/species/4185269 ชื่อสามัญ---Mountain Long Pepper ชื่ออื่น---พลูเงิน ;[ASSAMESE: Pahari-pipoli .];[AYURVEDA: Vana-Pippali.];[BENGALI: Pahari pipul, Bon pan.];[CHINESE: Chang bing hu jiao.];[INDIA (folk medicine): Pahaari Peepal (Hindi).];[THAI: Phlu ngoen.];[TIBET: Pang-ser.]; ชื่อวงศ์---PIPERACEAE EPPO Code---PIPSS (Preferred name: Piper sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ทิเบต, จีน (ยูนนาน), ลาว, บังกลาเทศ, อินเดีย, เมียนมาร์, ภูฏาน, สิกขิม Piper sylvaticum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พริกไท (Piperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ. 2363 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบังคลาเทศและภูมิภาคหิมาลายาตะวันออก (อินเดีย,, ภูฏาน, สิกขิม) เมียนมาร์ (Taninthayi), จีน (ทิเบต ยูนนานตอนใต้) เติบโตในป่าดิบชื้นริมฝั่งแม่น้ำที่ระดับความสูงถึง 800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กอายุหลายปีมีรากพิเศษออกจากข้อ ใบรูปหัวใจ กว้าง3-5ซม.ยาว5-9ซม.ปลายใบแหลมลายสีเขียวเข้มเหลือบเทาเป็นมันเห็นเส้นใบชัดเจนหลังใบแดงเรื่อดอกออกเป็นช่อทรงกระบอกที่ปลายยอดแกนช่อดอกมีขนดอกแยกเพศมีจำนวนมากไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดถึงแสงแดดรำไร ความชื้นในอากาศสูง อุณหภูมิระหว่าง 20-25°C ในฤดูหนาวประมาณ 18°C ไม่ต่ำกว่า 16°C ต้องการดินโปร่งเบาที่มีการระบายน้ำดีเยี่ยม พีทมอสหรือขุยมะพร้าวผสมกับเพอร์ไลต์เข้ากันได้ดีกับพืชชนิดนี้ การรดน้ำ---ปล่อยให้ผิวดินด้านบน 2"-3" แห้งก่อนรดน้ำ พืชสามารถทิ้งใบได้อย่างมากเมื่อความชื้นในอากาศต่ำ ใช้พ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นระยะ การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งควรทำเพื่อกำจัดใบที่เสียหาย ใบที่ตายแล้ว และเป็นโรคเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำ งดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะเป็นพืชที่ทนทานแม้ว่าบางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากไรเดอร์ เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งได้ เช่นเดียวกับพืชในร่มส่วนใหญ่ การรดน้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าได้ ปลายใบสีน้ำตาลเกิดจากความชื้นในอากาศต่ำหรือการรดน้ำไม่เพียงพอ ใบไม้จะเหี่ยวและเหลืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวเนื่องจากการรดน้ำมากเกินไป ในฤดูร้อน ใบไม้จะเหี่ยวและซีดเมื่อมีแสงมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในอนุทวีปอินเดีย ใบใช้กินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาแผนโบราณอย่างกว้างขวางในประเทศพื้นเมืองของพืชใบ ลำต้น ราก ผล และเมล็ด ใช้รักษาโรคต่างๆ ได้แก่ ปวดรูมาติก ปวดศีรษะ ไอเรื้อรัง หวัด หอบหืด ริดสีดวงทวาร ท้องร่วง แผลในปอด วัณโรค อาหารไม่ย่อย อาการอาหารไม่ย่อย ตับโต รากใช้เป็นยาขับลมโดยเฉพาะ -ในอนุทวีปอินเดีย รากใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาพิษงูและรักษาเนื้องอก -ชาวมอนปาของเทศมณฑลเมด็อกทางตะวันออกเฉียงใต้ของทิเบต ใบบดถูกใช้เป็นยาแก้อักเสบ -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้เลื้อยตามแนวรั้วเกาะกำแพง Interiorscape / ต้นไม้ในร่ม, ตะกร้าแขวน รู้จักอันตราย---แม้ว่า Piper Ornatum จะไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้สัตว์เลี้ยงกินพืชชนิดนี้ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนหรือคลื่นไส้ ระยะออกดอก---เดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด, ปักชำ, ตอนกิ่ง, การฝังรากลึก
หัวใจแนบ/Scindapsus pictus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Scindapsus pictus 'Argyreus' ชื่อพ้อง--- Epipremnum pictum ''Argyraeus' ---See all https://www.missouribotanicalgarden.org/PlantFinder/PlantFinderDetails.aspx?taxonid=297512 ชื่อสามัญ---Satin Pothos, Silk pothos, Philodendron Silver, ชื่ออื่น---หัวใจแนบ ; [THAI: Hua-chai nap.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---SNDPI (Preferred name: Scindapsus pictus.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากภาษากรีก 'skindapsos' ซึ่งมีความหมายหลากหลายรวมถึง "บนลำต้นของต้นไม้" โดยอ้างอิงถึงนิสัยการเจริญเติบโตของพืช ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'pictus' มาจากภาษาละตินหมายถึงทาสีหรือมีสีสันสดใสโดยอ้างอิงถึงความแตกต่างของใบไม้ ; ชื่อพันธุ์ 'Argyreus' = หมายถึงสีเงิน Scindapsus pictus 'Argyreus' เป็นพืชดอกในครอบครัววงศ์ Aceraceae สกุล Scindapsus เป็นกลุ่มพืชที่ระบุผิดพลาดโดยทั่วไป ต่อไปนี้คือข้อมูลสรุปของพันธุ์ต่างๆ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด พวกเขามักจะถูกเรียกว่า pothos เงิน แม้ว่าจะไม่ใช่ pothos เลย และไม่ใช่ philodendron พวกเขาทั้งหมดถูกจัดเก็บทางพฤกษศาสตร์ภายใต้ Scindapsus Pictus ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในถิ่นที่อยู่อาศัยของมันมันจะเลื้อยไต่ขึ้นไปบนลำต้นของต้นไม้ โดยใช้รูรากอากาศหรือหากไม่รองรับก็ร่วงลงไปตามพื้นดิน ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยอิงอาศัย อายุหลายปีลำต้นอ่อนอวบน้ำ โตเต็มที่ยาวประมาณ 1 เมตร มักขึ้นบนดินแล้วค่อยทอดเลื้อยขึ้นบนลำต้นของต้นไม้อื่น หรือตามก้อนหินที่อยู่ตามที่ร่มชื้น ลำต้นมีรากอากาศงอกออกมาตามข้อปล้อง ใบเดี่ยวรูปหัวใจเบี้ยวปลายใบแหลม กว้างประมาณ 10 ซม.ยาว 5-12 ซม. เรียงสลับระนาบเดียวกัน แผ่นใบหนา สีเขียวเข้มคล้ายกำมะหยี่ มีลายแต้มด่างสีบรอนซ์เงิน ขอบใบสีเงิน สวย ดอกไม้และผลแทบไม่ปรากฏบนพืชในร่ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า ในที่มีแสงสว่างทางอ้อมมากที่สุด หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง วัสดุปลูกที่โปร่งเก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี ความชื้นสัมพัทธ์ 40-50% เติบโตได้ดีในอุณหภูมิระหว่าง 18-29 ° C ทนอุณหภูมิต่ำสุด 15 °C การบำรุงรักษาต่ำ ต้องการ repotting ทุก ๆ ปีหรือสองปี การรดน้ำ---รดน้ำเมื่อดินแห้งเท่านั้น การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งควรทำเพื่อกำจัดใบที่เสียหาย ใบที่ตายแล้ว และเป็นโรคเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งโดยใช้ปุ๋ยน้ำ 20-10-10 เจือจาง งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ระวังจุดใบเชื้อราและ botrytis รากอาจเน่าในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี อาจเกิดตะกรันและไรขึ้น ; ไรเดอร์และ Scale/โรครากเน่าเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกประดับตามกำแพงคล้ายกับตีนตุ๊กแก เพราะมีลักษณะเด่นอยู่ที่แผ่นใบด้านท้องใบจะแนบชิดกับวัสดุที่ชื้น รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อแมว สุนัข และสัตว์อื่นๆ ASPCA กล่าวว่าScindapsus pictus 'Argyraeus' มีแคลเซียมออกซาเลตที่ไม่ละลายน้ำ สารพิษนี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและบวมในช่องปาก น้ำลายไหลมากเกินไป และกลืนลำบาก ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society).2014 ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้น
|
สกุลบีโกเนีย
บีโกเนีย/Begonia L.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Begonia L (1753) Species ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/browse/A/Begoniaceae/Begonia/ ชื่อสามัญ ---Angel wing begonia, Begonia, Belgian Begonias, Climbing Dragon, Wings Begonia, Rex Begonia, Rex Begonias, Tuberous Begonias ชื่ออื่น---บีโกเนีย ;[CHINESE: Qiū hǎi táng shǔ.];[NORWEGIAN: Begoniaslekta.];[SWEDISH: Begonior.];[VIETNAM: Thu hải đường.] ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE EPPO Code---1BEGG (Preferred name: Begonia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา, แอฟริกา, เอเชีย เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง, แอฟริกา, เอเชีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) Begonia เป็นสกุลของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดาดตะกั่ว (Begoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย สกุลนี้มีพืชมากกว่า 1,500 ชนิดที่แตกต่างกันและหลายร้อยของลูกผสม มีถิ่นกำเนิดในสภาพอากาศกึ่งเขตร้อนและเขตร้อนชื้น (ในภาคใต้และอเมริกากลาง, แอฟริกา, และภาคใต้ของเอเชีย) บางชนิดปลูกในบ้านเป็นไม้ประดับในสภาพอากาศที่เย็นกว่าปกติ บางชนิดปลูกนอกในฤดูร้อนสำหรับดอกไม้สีสันสดใส ซึ่งมีกลีบเลี้ยง แต่ไม่มีกลีบดอก ลักษณะ เป็นประเภทของไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มไม่ผลัดใบหรือผลัดใบ ลำต้นอวบน้ำ มีทั้งเป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย มีหัวหรือเหง้าทอดเลื้อยใต้ดิน ใบมีหลายแบบและมักเป็นใบไม่สมมาตร มักมีลวดลายโดดเด่น ทั้งรูปกลมรูปไข่รูปใบหอก หรือหยักเว้าลึกช่อดอกออกที่ปลายยอดเป็นช่อกระจุกหรือช่อเชิงลดดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) แต่ละช่อมีดอกจำนวนมากมีสีหลายสี American Begonia Society (เป็นหน่วยงานจดทะเบียนระหว่างประเทศสำหรับชื่อและสายพันธุ์ของต้นบีโกเนีย) แบ่ง บีโกเนีย ออกเป็น 7 กลุ่มที่ไม่เป็นทางการตามลักษณะการเจริญเติบโต : Cane-like, Rex-cultorum, Rhizomatous (เหง้า), Semperflorens, Tuberous (หัวใต้ดิน), Trailing or scandent, Thick-stemmed และ Shrub-like (คล้ายไม้พุ่ม). ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นบีโกเนียส่วนใหญ่สามารถปลูกได้กลางแจ้งตลอดทั้งปี ต้องการแสงแดดรำไร หรือแดดครึ่งวันในช่วงเช้า ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ความชื้นค่อนข้างสูง บางชนิดจะปลูกได้ในที่มีแสงแดดเกือบตลอดวัน แต่ต้องได้ความชื้นพอ ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังเพลี้ยแป้งและเพลี้ยไฟ/อ่อนแอต่อเชื้อแบคทีเรียใบจุด โรคราแป้ง บอทริติสและโคนเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศชื้นที่มีการไหลเวียนของอากาศไม่ดี ใช้ประโยชน์--- บางชนิดมีการปลูกบ้านเป็นไม้ประดับทั่วไป เป็น houseplants ในสภาพอากาศเย็น มีบางชนิดที่ปลูกนอกฤดูร้อนสำหรับดอกไม้ที่มีสีสันสดใส ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ด้วยวิธีปักชำเหง้า ลำต้น
สำหรับชนิดที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในเมืองไทยตัวอย่างมีดังนี้
บีโกเนียโบว์นิกรา/Begonia cv. Bow-nigra
ชื่อวิทยาศาสตร์---Begonia 'Bow-nigra' Cultivar---'Bow-Nigra' Additional cultivar information--- Cultivar group---Rhizomatous, Rhizome Begonia ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE Hybrid parentage--- bowerae x heracleifolia var. niglicans Hybridizer---Della MacLanahan (USA - CA) Registered or introduced---1951 Patented No---ABS R# 32 See https://www.begonias.org/cultivar-preservation/registered-cultivars/ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นไม่ผลัดใบเติบโตจากลำต้นดัดแปลงที่เรียกว่าเหง้า (Rhizome) ลำต้นทอดเลื้อย เจริญเป็นพุ่มสูงประมาณ 15-30 ซม.กว้าง 35 ซม.ใบค่อนข้างกลม ขนาด 6-7 ซม.ขอบใบจักเว้าลึกและมีขนประปราย กลางใบมีลายสีเขียวเทา ใต้ใบสีม่วงแดง ก้านใบสีเขียวอ่อน มีแต้มแดงเรื่อและมีขนบริเวณแต้ม ดอกไม้สีชมพูขนาดเล็กตั้งตรง ทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในกระจุกเดียวกัน (Monoecious) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดครึ่งวันเช้าถึงร่มรำไร ส่วนแสง ที่ผ่านการกรอง จะเหมาะสมที่สุด ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและอากาศดี pH 5.5-6.7 ความชื้น ประมาณ 50% ก็เพียงพอ การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละครั้ง รดน้ำให้ชุ่มลึกจะดีกว่าการรดน้ำบ่อยๆ เพียงไม่กี่นาที ระวังอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เว้นแต่จะพบว่ามันไม่สวยงาม ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 15-30-15 ละลายน้ำใช้ทุกสองสัปดาห์ ช่วงพักตัวในฤดูหนาวไม่ต้องให้ปุ๋ยเลย (หยุดใส่ปุ๋ยในปลายเดือนตุลาคมและกลับมาใส่ปุ๋ยในปลายเดือนกุมภาพันธ์) ศัตรูพืช/โรคพืช---เชื้อราเขม่า (sooty) ที่พบบนผิวใบ มันกินน้ำหวานที่หลั่งจากเพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เกล็ด หรือมด แม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่ก็ไม่สวย ทำให้ใบและลำต้นของพืชดำคล้ำ วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมราเขม่าคือการควบคุมแมลง ระวัง ทากและหอยทาก /โรคราน้ำค้างสามารถขจัดออกจากใบด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือล้างด้วยเครื่องพ่นสารเคมีแบบปลายท่อ Link: https://id.magicherbgarden.com/begonia-bow-nigra-4544 ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ประดับสวนและนิยมปลูกเป็นไม้กระถางทรงตื้น ปลูกเป็นไม้คลุมดินหรือไม้แขวนในที่ร่มได้ ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำลำต้น
บีโกเนียคลีโอพัตรา/Begonia cv. Cleopatra
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Begonia 'Cleopatra' ชื่อสามัญ---Mapleleaf Begonia Cultivar--- Cleopatra Additional cultivar information--- Cultivar group--- Rhizomatous, Rhizome Begonia ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE Hybrid parentage--- B. 'Maphil' x B. 'Black Beauty'. Hybridizer---Susie Zug Registered or introduced--- 1960 Patented No-- Non-patented นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) ที่อยู่อาศัย บีโกเนียสายพันธุ์นี้มาจากเกาะปาลาวันประเทศฟิลิปปินส์ มันเติบโตบนภูเขาที่เรียกว่า Cleopatra’s Needle และนั่นคือที่มาของชื่อซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตาม Cleopatra VII Philopatorราชินีแห่งอาณาจักร Ptolemaic แห่งอียิปต์ ระหว่าง 51-30 ปีก่อนคริสตกาล ลักษณะ เติบโตจากลำต้นดัดแปลงที่เรียกว่าเหง้า (Rhizome) ลำต้นทอดเลื้อย เจริญเป็นพุ่มสูงประมาณ 15-20 ซม.ใบใหญ่หนา ขนาด10-12.5 ซม.ลักษณะคล้ายบีโกเนียโบว์นิกรา แต่กึ่งกลางใบมีสีเขียว ขอบใบสีน้ำตาลแดง ก้านใบสีเขียวอ่อน มีขนประปรายสีแดง ดอกไม้ขนาดเล็กทั้งเพศผู้และเพศเมียอยู่ในกระจุกเดียวกัน (Monoecious) ดอกเป็นสีชมพูอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- แสงแดดโดยตรงเพียงบางส่วนของวัน 2-6 ชั่วโมง ชอบดินร่วนระบายน้ำดี pH ของดิน 6.1 ถึง 6.5 (เป็นกรดเล็กน้อย) 6.6 ถึง 7.5 (เป็นกลาง) ความชื้นค่อนข้างสูง (ความชื้นใกล้ 65%) อุณหภูมิ ระหว่าง 15-23 องศา C การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละครั้ง รดน้ำให้ชุ่มลึกจะดีกว่าการรดน้ำบ่อยๆ เพียงไม่กี่นาที ระวังอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เว้นแต่จะพบว่ามันไม่สวยงาม ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 15-30-15 ละลายน้ำใช้ทุกสองสัปดาห์ ปล่อยให้ช่วงพักตัวในฤดูหนาวและหยุดให้ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อการเน่าของรากและ botrytis ผ่านการรดน้ำ กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มักปลูกเป็นพืชกระถางในบ้าน (House plant) เป็นพืชขอบหน้าต่างที่ค่อนข้างแข็งแรง เพิ่มขนาดภาชนะเมื่อพืชเต็มกระถาง และยังสามารถปลูกได้ในสวนขวด ซึ่งจะเติบโตได้เร็วขึ้นแต่อาจมีโอกาสน้อยที่จะออกดอก ขยายพันธุ์---N / A: พืชไม่ตั้งเมล็ดดอกไม้เป็นหมันหรือพืชจะไม่เป็นจริงจากเมล็ด, ปักชำลำต้นหรือใบ, แบ่งเหง้า
ส้มกุ้งใบหยิก/Begonia auriculata cv. Cathedral Windows
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Begonia auriculata 'Cathedral Windows' ชื่อสามัญ--- Stained Glass, Begonia 'Cathedral' Cultivar --- Cathedral Additional cultivar information---(aka Cathedral Window) Cultivar group --- Rhizomatous, Rhizome Begonia ชื่ออื่น---ส้มกุ้งใบหยิก ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE Hybrid parentage--- Unknown Hybridizer--- Steve Talnadge (1960) Registered or introduced-ได้รับการแนะนำในสหรัฐอเมริกาจากออสเตรเลียโดย Steve Talnadge ในปี 1960ในชื่อ 'Cathedral' Patented No-- Non-patented นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) ชื่อที่ถูกต้องสำหรับบีโกเนียต้นนี้คือ B. 'Cathedral' แต่มักใช้ชื่อ 'Cathedral Windows' ที่ไม่ถูกต้องแต่เป็นที่เข้าใจได้ ; ชื่อสามัญ 'Stained Glass' มาจากลักษณะใต้ใบไม้ที่เหมือนมีไฟแบ็คไลท์ดูเหมือนกระจกสี ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยลำต้นอวบอ้วนเติบโตจากลำต้นดัดแปลงที่เรียกว่าเหง้า (Rhizome) ใบเป็นรูปก้นปิด ขนาดประมาณ 3 ซ.ม.แผ่นใบหนาย่นและห่อขึ้น ใต้ใบมีสีแดงเรื่อ ก้านใบยาว สีแดงเรื่อและมีขนประปราย ดอกสีชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- แสงแดดโดยตรงเพียงบางส่วนของวัน 2-6 ชั่วโมง ชอบดินร่วนระบายน้ำดี pH ของดิน 6.1 ถึง 6.5 (เป็นกรดเล็กน้อย) 6.6 ถึง 7.5 (เป็นกลาง) ความชื้นค่อนข้างสูง อุณหภูมิ ระหว่าง 15-23 องศา C การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละครั้ง รดน้ำให้ชุ่มลึกจะดีกว่าการรดน้ำบ่อยๆ เพียงไม่กี่นาที ระวังอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เว้นแต่จะพบว่ามันไม่สวยงาม ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 15-30-15 ละลายน้ำใช้ทุกสองสัปดาห์ ปล่อยให้ช่วงพักตัวในฤดูหนาวและหยุดให้ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อการเน่าของรากและ botrytis ผ่านการรดน้ำ กำจัดใบตายแล้วออกเพื่อป้องกันปัญหาเชื้อรา ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มักปลูกเป็นพืชในบ้าน (House plant) หรือพืชในร่ม ได้รับรางวัล---'Cathedral' ผู้ชนะเรางวัลบีโกเนียและไม้ประดับชั้นเยี่ยม (A winner of a begonia and exceptional houseplant) ขยายพันธุ์---N/A: พืชไม่ตั้งเมล็ด ดอกเป็นหมัน หรือต้นไม่งอกจากเมล็ด, ;โดยการแบ่งเหง้า หัว (รวมทั้งหน่อ), ปักชำใบ
Begonia erythrophylla 'Beef Steak'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Begonia × erythrophylla Hérincq.(1847) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. ---Begonia ×bunchii L.H.Bailey. (1914) ---Begonia × feastii L.H.Bailey. (1914) ---Begonia × langeana Fotsch. (1933) ---See all https://species.wikimedia.org/wiki/Begonia_%C3%97_erythrophylla ชื่อสามัญ---Beefsteak Begonia, Begonia erythrophylla 'Beef Steak' Cultivar---Erythrophylla Additional cultivar information--- (aka Beefsteak, B. hydrocotylifolia x B. manicata) Cultivar group---Rhizomatous, Rhizome Begonia ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE EPPO Code---BEGSS (Preferred name: Begonia sp.) Hybrid parentage---B. hydrocolylifolia X B. maculata Hybridizer--- Warscewics (1840) Registered or introduced---Germany in 1849 Patented No--- Non-patented นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) Begonia × erythrophylla เป็นพันธุ์ลูกผสมเทียมของพืชดอกในครอบครัววงศ์ดาดตะกั่ว (Begoniaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย François Hérincq (1820–1891) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2490 ที่อยู่อาศัย เป็นบีโกเนียหายากที่พบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ไม่พบรายงานในป่าในเม็กซิโก ดังนั้นจึงถือว่ามีแหล่งกำเนิดเทียมล้วนๆ นี่คือต้นบีโกเนียลูกผสมที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่ยังคงอยู่ในการเพาะปลูก ได้รับการผสมพันธุ์ในประเทศเยอรมนีในปี พ.ศ. 2392 โดยการผสมข้ามสายพันธุ์ B. hydrocolylifolia X B. manicata ลักษณะ เป็นพวกมีลำต้นทอดเลื้อย เติบโตจากลำต้นดัดแปลงที่เรียกว่าเหง้า (Rhizome) ลำต้นสูงประมาณ 30 ซม.ใบกลมหนา ใบกว้าง 6.35-7.6 ซม. มีขนสีขาวปนอยู่ตามขอบ ด้านบนใบเป็นมันเงาสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีแดงเบอร์กันดีเข้ม ก้านใบมีขนดกและมีสีแดง ดอกออกเป็นช่อชูตั้งขึ้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดส่องถึงโดยตรง แดดส่องทางอ้อมและร่มเงาบางส่วนในช่วงเวลาที่ร้อนของวัน ชอบดินร่วนระบายน้ำดี pH ของดิน 6.1 ถึง 6.5 (เป็นกรดเล็กน้อย) 6.6 ถึง 7.5 (เป็นกลาง) ความชื้นค่อนข้างสูง อุณหภูมิ ระหว่าง 15-23 C การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละครั้ง รดน้ำให้ชุ่มลึกจะดีกว่าการรดน้ำบ่อยๆ เพียงไม่กี่นาที ระวังอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เว้นแต่จะพบว่ามันไม่สวยงาม ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 15-30-15 ละลายน้ำใช้ทุกสองสัปดาห์ ปล่อยให้พักตัวในช่วงฤดูหนาว และหยุดให้ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ปัญหารากเน่า ระวังไม่ให้น้ำมากเกินไปในช่วงดอกบาน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกกันมาก มักปลูกลงแปลงเป็นกลุ่ม หรือเป็น House plant เป็นไม้กระถางที่ดีเยี่ยมและดูแลง่าย โดยปกติแล้ว จะไม่ค่อยพบในร้านขายต้นไม้ แต่มักเป็นของสะสมในทุกคอลเลกชันของ Begonias ระยะออกดอก---ฤดูหนาว ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นหรือใบหรือหง้า และจากการแบ่งกอขนาดใหญ่
Begonia rex 'Red Tango'
Picture: https://www.plantandcurio.com/product/rex-begonia-red-tango-/813 ชื่อวิทยาศาสตร์ : Begonia rex 'Red Tango' ชื่อสามัญ---Red Tango Begonia, King Begonia, Painted Begonia, Painted Leaf Begonia Cultivar--- Red Tango Additional cultivar information---Rex-cultorum, Begonia Rex-cultorum Cultivar group---Rhizomatous, Rhizome Begonia ชื่อวงศ์---BEGONIACEAE EPPO Code---1BEGG (Preferred name: Begonia.) Hybrid parentage--- Unknown Hybridizer--- Hoefnagels Registered or introduced--- Unknown Patented No-- Non-patented นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Begonia' ได้รับการประกาศเกียรติคุณโดย Charles Plumier ผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เพื่อเป็นเกียรติแก่ Michel Bégon อดีตผู้ว่าการอาณานิคมของฝรั่งเศสใน Saint-Domingue (ปัจจุบันคือเฮติ) Begonia rex 'Red Tango' เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Begonia rex สายพันธุ์พืชดอกในครอบครัววงศ์ดาดตะกั่ว (Begoniaceae) ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ จีนตอนใต้ และเวียดนาม ลักษณะ เติบโตจากลำต้นดัดแปลงที่เรียกว่าเหง้า (Rhizome) ลำต้นตั้งตรง เมื่อโตเต็มที่ สูงประมาณ 40 ซม.พุ่มกว้าง 45 ซม.พันธุ์นี้มีใบรูปหัวใจขนาดกลางขอบใบหยักเล็กน้อย สีของใบมีสามระดับตรงเส้นกลางใบมีสีเกือบดำเช่นเดียวกับขอบใบ ส่วนที่เหลือเป็นขอบสีเงินและสีแดงทับทิมเข้มถึงแดงเข้ม ดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวอมชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดส่องทางอ้อมหรือแสงแดดครึ่งวันเช้าถึงร่มรำไร ทนต่อแสงได้น้อยกว่าต้นบีโกเนียอื่นๆ ชอบดินร่วนระบายน้ำดี pH 5.5-6 ความชื้นสม่ำเสมอ อุณหภูมิ ระหว่าง 15.5 - 21.1 องศา C ให้ปุ๋ยน้ำ1/2ครั้งเดือน ดอกไม้จะต้องถูกกำจัดออกทันทีที่เหี่ยวเฉาเนื่องจากมักจะอยู่ระหว่างใบและทำให้เกิดโรค การบำรุงรักษาสูงซึ่งจะต้องได้รับการดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ ค่อนข้างทนต่อมลภาวะในเมือง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อการเน่าของรากและ botrytis (ราสีเทา) ไม่ชอบการพ่นหมอกโดยตรง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดโรคราแป้ง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นกลุ่มจำนวนมาก และมักปลูกเป็นพืชในบ้าน (House plant) ปลูกเป็นไม้กระถางหรือในภาชนะหรือกระเช้าแขวนที่ดีเยี่ยม เมื่อปลูกพืชในภาชนะและตะกร้ากลางแจ้ง อาจต้องการการรดน้ำบ่อยกว่าการปลูกในสวน ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นหรือใบหรือหง้า
บีโกเนียอื่นๆ Begonia spp. & hybrid
|
|
ส้มกุ้งตาบปูน |
Snail Rex Begonia (Begonia 'Escargot') |
|
|
Begonia spp.
|
Begonia spp |
|
|
Begonia spp |
Begonia spp |
|
|
ส้มกุ้งใบเงิน |
Begonia spp |
|
|
Begonia spp |
Begonia spp |
|
|
Begonia spp |
Begonia spp |
|
พรมกำมะหยี่่/Episcia Mart
ชื่อสกุล---Episcia Mart.(1829) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Cyrtodeira Hanst.(1853) ---See all https://www.gbif.org/species/3172880 ชื่อสามัญ---Flame violets, Carpet Plant, Episcia ชื่ออื่น---พรมกำมะหยี่่, ใบสักหลาด, พรมหูเสือ, พรมญี่ปุ่น ชื่อวงศ์---GESNERIACEAE EPPO Code---1EPSG (Preferred name: Episcia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Episcia' มาจากภาษากรีก 'episkios' แปลว่า "แรเงา" หมายถึงที่อยู่อาศัยของพืชเหล่านี้ Episcia เป็นประเภทของพืชดอกในวงศ์ แอฟริกันไวโอเล็ต (Gesneriaceae) มี 10 สายพันธุ์ ได้รับการอธิบายโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794–1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2472 Includes 9 Accepted Species;- - Episcia andina Wiehler - Episcia cupreata (Hook.) Hanst. - Episcia duidae Feuillet - Episcia fimbriata Fritsch - Episcia lilacina Hanst. - Episcia prancei Wiehler - Episcia reptans Mart. - Episcia rubra Feuillet - Episcia sphalera Leeuwenb. ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเขตร้อนของกลางและอเมริกาใต้ ; เบนิน, บราซิลเหนือ, บราซิลตะวันออกเฉียงใต้, บราซิลตะวันตก - กลาง, โคลอมเบีย, คอสตาริกา, เอกวาดอร์, เฟรนช์เกียนา, กายอานา, ฮอนดูรัส, เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้, นิการากัว, ปานามา, เปรู, ซูรินาเม, เวเนซุเอลา เติบโตในป่าเขตร้อนในที่ชื้นเนินเขาหรือโขดหินโดยปกติจะอยู่ที่ระดับความสูงต่ำส่วนหนึ่งก่อตัวเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่ ลักษณะ พรมกำมะหยี่หรือใบสักหลาดเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นอวบน้ำ ทอดเลื้อยได้ไกลประมาณ 30-60 ซม.มีขนอ่อนๆ ปกคลุมอยู่ทั่วลำต้น ใบรูปไข่กว้าง แผ่นใบหนา ย่น ใบสีเขียวอ่อน เขียวเข้ม น้ำตาลแดง ทองแดง เทา หรือมีสีสลับกันเป็นลวดลายต่างๆ แล้วแต่สายพันธุ์ ใบเดี่ยว เรียงสลับตรงข้าม มีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งใบ ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบบริเวณปลายกิ่งเป็นช่อกระจุก ผลแคปซูลรูปทรงกลม ภายในผลมีเนื้อนุ่มเป็นวุ้นใสๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ดสีดำขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก เมล็ดรูปรีมันวาวเป็นริ้ว ๆ สีน้ำตาล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ภายนอกต้องการแสงกรองถึงรำไร ภายในได้ทุกที่ในบ้านเพราะจะเติบโตภายใต้แสงธรรมชาติหรือแสงประดิษฐ์ สัมผัสกับแสงทางอ้อมที่สว่างจ้าหรือแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้ดอกไม้บาน ชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี การรดน้ำ---ชอบความชื้นเป็นประจำและไม่ชอบให้แห้งสนิท รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ทำให้ดินชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง เว้นแต่จะพบว่ามันไม่สวยงาม ตัดแต่งกิ่งให้บางลงบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุลสำหรับพืชในร่ม ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เมื่อพบเห็น ให้รักษาด้วยสเปรย์สบู่ฆ่าแมลงหรือน้ำมันสะเดา/ใบเหลือง เกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใบไม้ร่วงหล่นพร้อมดินชื้น ปัญหาอาจเกิดจากแสงไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังอาจบ่งบอกถึงการเน่าของราก การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเลี้ยงเป็นไม้ผิวดินหรือไม้กระถางแขวนกันมาก รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษ ดังนั้นจึงปลอดภัยสำหรับเด็กและ/หรือสัตว์เลี้ยง แม้ว่าจะไม่เป็นพิษ แต่ก็ไม่แนะนำให้กินส่วนใดส่วนหนึ่งของมันเพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้ ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำยอดและไหล
ส่วนหนึ่งที่นำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย
|
|
Episcia cv.Checkerboard
|
Episcia cv. Keewee
|
|
|
Episcia cv.Acajou
|
Episcia cv. Fire 'N' Ice
|
|
|
Episcia cv. Suomi |
Episcia cv.Pink Panther |
|
|
Episcia cv.Musiaca |
Episcia cv. Toy silver |
|
|
Episcia cv. Lil Lemon (Hybrid2) |
Episcia ssp |
|
|
Episcia spp |
Episcia spp |
Fittonia (nerve plant)
เป็นประเภทของพืชดอกในครอบครัว ACANTHACEAE ประกอบด้วยประมาณ 10 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนในอเมริกาใต้ (เอกวาดอร์ โคลอมเบีย เปรู โบลิเวียและทางตอนเหนือของบราซิล) เป็นพืชในเขตร้อนที่สวยงามที่มีลวดลายของใบที่มีเส้นสีชมพูสีแดงสีเขียวอ่อนหรือสีขาว เครื่องหมายที่มีสีสันเหล่านี้สร้างความแตกต่างอย่างสวยงามกับใบไม้สีเขียวเข้ม เนื่องจากรูปแบบเส้นเลือดที่ซับซ้อน Fittonias จึงเรียกอีกอย่างว่า Mosaic Plants, Vein Plants และ Painted Net Plants
พรมออสเตรเลีย/Fittonia albivenis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Fittonia albivenis (Lindl. ex Veitch) Brummitt. (1979) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. ---Basionym: Adelaster albivenis Lindl. ex Veitch, Gard.(1861.) ---Fittonia verschaffeltii (Lem.) Van Houtte.(1865) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2813190 ชื่อสามัญ---Nerve Plant, Mosaic-plant, Silver-nerve plant, Silver Fittonia, Silver-threads, Silver Net-leaf, Snake skin plant, White-leaved fittonia ชื่ออื่น ---พรมออสเตรเลีย ;[DUTCH: Mozaïekplant.];[FRENCH: Fils d'argent.];[GERMAN: Mosaikpflanze, Silbernetzblatt.];[ITALIAN: Fittonia con venature bianche.];[JAPANESE: Beni-amimegusa, Koba-amimegusa.];[PORTUGUESE: Fitónia.];[RUSSIA: Fittoniya serebristaya.];[SPANISH: Planta de mosaico.];[THAI: Phrom australia.]. ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE EPPO Code---FITVE (Preferred name: Fittonia albivenis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย เปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์ บราซิล เวเนซุเอลา Fittonia albivenis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวเหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต John Gould Veitch (1839–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Richard Kenneth Brummitt (1937–2013) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2522 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองป่าฝนของโคลัมเบีย เปรู โบลิเวีย เอกวาดอร์และทางตอนเหนือของประเทศบราซิล เติบโตในป่าทึบที่ระดับความสูง 200-800 เมตร การกระจาย ในโคลอมเบีย (CAQUETÁ, CAUCA, PUTUMAYO, VALLE); N-บราซิล (อเมซอน, เอเคอร์); เวเนซุเอลา (MERIDA, NUEVA ESPARTA); เปรู; เอกวาดอร์; ฮิสปานิโอลา; อิสลา มาร์การิต้า; โบลิเวีย; ฮอนดูรัส; นิวแคลิโดเนีย; ทรอ แอฟริกา; ไต้หวัน; กวม; เมียนมาร์ ; บังคลาเทศ; ชวา; ตรินิแดดและโตเบโก; แคเมอรูน ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบแบบแผ่คลุมดินสูงเพียง 10-15 ซม ใบรูปรีถึงรูปไข่กลับยาว 7-10 ซม.มีเส้นใบเป็นร่างแหสีขาวดูเด่นชัดก้านใบอ่อนมีขนยาวปกคลุม ดอกออกเป็นช่อสีเหลือง ยาวเป็นแท่งตั้งตรงขึ้น มีใบประดับสีเขียวซ้อนเหลื่อมกัน ดอกจะออกจากซอกใบประดับ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่ nervatura เป็นสีแดงเลือดนก ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวถึงสีขาวนวล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไวต่อแสงแดดโดยตรงและจะมีอาการใบไหม้อย่างรวดเร็ว ต้องการแสงแดดครึ่งวันเช้าถึงร่มรำไร มีแสงแดดอ่อนๆ แม้ว่าจะไม่ต้องการแสงมากนัก และอุณหภูมิสูงกว่า 13 °C ชอบดินร่วนปนทรายผสมอินทรีย์วัตถุมากๆ มีการระบายน้ำดี ชอบดินเป็นกรดอ่อน ๆ pH (6.5) การรดน้ำ---รดน้ำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ น้ำพอประมาณอย่ามากจนแฉะ หากไม่มีน้ำเป็นเวลาสองสามวัน เป็นที่ทราบกันว่าเหมือนจะ "เป็นลม" แต่สามารถฟื้นฟูได้ง่ายด้วยการรดน้ำอย่างรวดเร็วและจะกลับมามีสุขภาพที่ดี ต้องการความชื้น ในระดับสูง ซึ่งเกิดจากการพ่นหมอกบ่อยครั้งหรือโดยการวางกระถางในจานรองที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดและน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---เนื่องจากดอกไม้ไม่มีนัยสำคัญและน่าเบื่อการเด็ดดอกตูมออกจะช่วยให้ใบไม้เต็ม การใส่ปุ๋ย---ให้อาหารพืชทุกสัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำที่สมดุลเจือจาง สูตร 5-5-5 หยุดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ปัญหาแมลงได้แก่ เชื้อรา ริ้น เพลี้ยแป้ง หรือเพลี้ยอ่อน ใช้กำจัดด้วยน้ำมันฆ่าแมลง เช่น น้ำมันสะเดา/ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นผลมาจากการให้น้ำมากเกินไป ใบไม้แห้งเหี่ยว พืชไม่ได้รับความชื้นเพียงพอหรือได้รับแสงแดดโดยตรงมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้กินในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคอเมซอนใบของสายพันธุ์นี้ใช้ชงเป็นชา -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในสวนเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพืชคลุมดินในตำแหน่งที่ร่มรื่นและยังปลูกเป็นพืชในบ้านซึ่งมักปลูกในตะกร้าแขวนและในกระถาง -ใช้เป็นยา ยาต้มของทั้งต้นบดใช้ทาเป็นยาแก้ปวดศีรษะและปวดกล้ามเนื้อ -อื่น ๆใบของมันถูกใช้โดย Machiguenga เป็นยาหลอนประสาทก่อนที่พวกเขาจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ Psychotria viridis มีการกล่าวกันว่า "สร้างนิมิตในลูกตา" ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
พรมออสเตรเลีย/Fittonia verschaffeltii var. pearcei
ระฆังทอง/Chrysothemis pulchella
ชื่อวิทยาศาสตร์---Chrysothemis pulchella (Donn ex Sims) Decne.(1849) ชื่อพ้อง--Has 12 Synonyms. ---Basionym: Besleria pulchella Donn ex Sims.(1808) ---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2720318 ชื่อสามัญ---Cocoa lily, Sunset bells, Black flamingo, Copper leaf, Simply chryothemis, Square stem ชื่ออื่น ---ระฆังทอง กาสะลองป่า [THAI: Ra khang thong, Kasalong Paa.];[VIETNAM: Lá gấm, Tấm lưới bạc.] ชื่อวงศ์---GESNERIACEAE EPPO Code---KHHPU (Preferred name: Chrysothemis pulchella.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง: เม็กซิโก ปานามา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Chrysothemis' มาจากภาษากรีก 'chrysos' =ทองคำ และ 'themis'=ประเพณี, กฎหมาย เป็นชื่อที่มีต้นกำเนิดมาจากตัวละครในตำนานเทพเจ้ากรีก Chrysothemis เป็นลูกสาวของ Agamemnon และ Clytemnestra ; ชื่อสายพันธุ์ 'Pulchella' มาจากคำภาษาละติน 'pulchellus' = น่ารัก อ้างอิงถึงดอกไม้ที่ฉูดฉาดสวยงามของพืชชนิดนี้ Chrysothemis pulchella เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ แอฟริกันไวโอเล็ต (Gesneriaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJames Donn จากอดีต John Sims และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Decaisne (1807–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2392 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิด ในภูมิภาคของอเมริกากลาง และทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ แพร่กระจายอย่างกว้างขวางไปยังแคริบเบียนทางตอนใต้และบราซิล นอกจากนี้ ยังสามารถพบเห็นไม้ดอกเขตร้อนชนิดนี้ขึ้นบนพื้นที่ลาดชื้นของป่าเขตร้อนได้ทั่วไป ที่ระดับความสูง 70 - 1200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกยืนต้น ความสูง 25-40 ซม. ลำต้นหนาและอวบน้ำมักตั้งตรง ใบเดี่ยว อวบน้ำ มีขนสั้นๆปกคลุม ออกเรียงตรงข้าม รูปรีแกมรูปขอบขนานขนาดใหญ่ กว้าง 10-12 ซม.ยาว 15-30 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจักซี่ฟัน แผ่นใบย่น มีขนคลุมคล้ายกำมะหยี่ ด้านบนสีน้ำตาลเขียว ด้านล่างสีม่วงแดง ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองส้มรูประฆัง กลีบเลี้ยงสีแดงส้มโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉกกลมมน ดอกบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม.ดอกบาน 5 ถึง 6 วัน พืชสามารถสร้างผลไม้ ( แคปซูล) แต่มักไม่พบในการเพาะปลูก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงที่ผ่านการกรองปลูกได้ดีในที่ร่มรำไร แสงแดดยามเช้าทางอ้อมดีที่สุด ถ้าแสงแดดจัดใบจะไหม้ อุณหภูมิที่เหมาะสม 18°C - 23°C ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย เป็นกรดเล็กน้อย pH ประมาณ 5.6 ถึง 7.5 และมีการระบายน้ำดี พืชมีหัวอยู่ที่โคนก้านและบางครั้งก็อยู่ในซอกใบด้วย หัวจะสงบนิ่งหากอุณหภูมิต่ำกว่าที่กำหนด ใบและลำต้นจะหายไป และหัวที่อยู่เฉยๆ จะเริ่มงอกใหม่ในภายหลังเมื่อสภาพอากาศที่เหมาะสมปรากฏขึ้น การรดน้ำ---รดน้ำปกติ ต้องการการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ความชื้นในดินคงที่ ไม่ชอบน้ำขังแฉะ ต้นจะเน่า การตัดแต่งกิ่ง---โดยทั่วไปมีการบำรุงรักษาต่ำ และไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง อาจตัดใบที่เหี่ยวเฉาหรือตายแล้ว และหน่อที่อยู่นอกขอบเขตออก เพื่อรักษาลักษณะที่สวยงามไว้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำเจือจาง (ความเข้มข้นครึ่งหนึ่ง) ตั้งแต่ฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วง (มีนาคม-ตุลาคม) งดใส่ปุ๋ยในช่วงพักตัว ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปลอดศัตรูพืชและปราศจากโรค แต่บางครั้งอาจพบเพลี้ยแป้ง แมลงหวี่ขาว/โรคเน่า ใบเหลือง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้คลุมดินในร่มและเป็นไม้ที่นิยมนำมาตกแต่งภายในหรือปลูกไว้ในบ้านเป็น house plant ระยะออกดอก---ฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---แบ่งหัวหรือจากการปักชำ
|
บรอมมีเลียดส์/(BROMELIADS)
วงศ์---BROMELIACEAE
Bromeliadsเป็นสมาชิกของครอบครัวของพืชที่เรียกว่า Bromeliaceae ครอบครัวนี้มีสายพันธุ์ที่อธิบายไว้มากกว่า 3,000 ชนิดในประมาณ 56 สกุล และลูกผสมอีกหลายพันชนิด Bromeliad ที่รู้จักกันดีที่สุดคือสับปะรด พืชมีตัวแทนอย่างกว้างขวางในสภาพอากาศตามธรรมชาติทั่วทวีปอเมริกา สามารถพบได้ ในระดับความสูง จากระดับน้ำทะเล ถึง 4200 เมตร ตั้งแต่ป่าฝนไปจนถึงทะเลทราย ประมาณครึ่งหนึ่งของสปีชีส์คือ epiphytes บางชนิดเป็น lithophytes และบางชนิดเป็น terestrial ดังนั้นพืชเหล่านี้สามารถพบได้ในที่ราบสูงแอนเดียนจากชิลีตอนเหนือไปจนถึงโคลอมเบียในทะเลทรายเซชูราชายฝั่งเปรูในป่าเมฆของอเมริกากลางและใต้ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาจากตอนใต้ของเวอร์จิเนียไปฟลอริดาไปจนถึงเท็กซัสและใน ทางตอนใต้ของรัฐแอริโซนา บรอมมีเลียดส์ เป็นไม้ประดับในที่ร่ม ที่ทนต่อสภาพในห้องแอร์ ชอบอุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส พืชชนิดนี้จะไม่ดูดธาตุอาหารจากดินแต่จะดึงความชุ่มชื้นและสารอาหารจากอากาศ ไม่ควรรดน้ำมากเกินไปแต่รดน้ำใบไม้บ่อยๆให้เหมือนละอองฝนกลางช่อใบควรให้มีน้ำขังเพื่อให้ความชื้นซึมลงไปถึงรากควรให้ปุ๋ยน้ำที่เจือจางมากๆทุก 3 สัปดาห์
สับปะรดสีที่พบเห็นกันบ่อยนิยมปลูกกัน
สับปะรดสี (แจกันเงิน)/Aechmea fasciata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aechmea fasciata (Lindl.) Baker.(1879) ชื่อพ้อง ---Has 19 Synonyms. ---Basionym: Billbergia fasciata Lindl.(1827) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/ ชื่อสามัญ---Silver Vase Bromeliad, Living vase, Silver vase, Urn plant ชื่ออื่น---สับปะรดสีแจกันเงิน ;[CHINESE: Qīng tíng bōluó.];[DANISH: Lanseroset.];[DUTCH: Kokerbromelia.]; [FRENCH: Vase d’argent, Aechméa, Aechméa à bandes, Aechmée fasciée.];[GERMAN: Lanzenrosette.];[HUNGARIAN: Lanzenrosette, Szúrós lándzsarózsa.]; [ITALIAN: Bilbergia, Echmea.]; [JAPANESE: Ekumea.]; [PORTUGUESE: Vaso-prateado, Bromélia-aequimea, Caranguatá, Aequimea, Aechméia prateada.];[SPANISH: Aecmea, Vaso de plata, Bromelia fasciada, Lengua de suegra, Piñuela.];[SWEDISH: Blomsterananas.];[THAI: Supparot-Si Chaekan ngeon.]. ชื่อวงศ์---BROMELIACEAE EPPO Code---AEMFA (Preferred name: Aechmea fasciata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุลมาจากภาษากรีก 'aichmea' = หัวหอกโดยอ้างอิงถึงหนามที่มีหนามของกลีบเลี้ยงและกาบดอกไม้ ; ชื่อสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'fasciata' =ลาย หมายถึงแถบแนวนอนของดอกไม้ Aechmea fasciata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์สับปะรดสี (Bromeliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJohnLindley(1789-1865)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Gilbert Baker (1834 – 1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2422 ที่อยู่อาศัย พบในอเมริกาใต้ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล (รัฐริโอเดอจาเนโร) ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับการเพาะปลูกในปีพ.ศ.2369 และยังคงเป็นที่ต้องการมากที่สุดในบรรดา bromeliads ทั้งหมด เติบโตบนต้นไม้ในป่าเขตร้อนบนภูเขาในระดับความสูงตั้งแต่ 500 - 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวล้มลุก Monocarpic (ให้ผลครั้งเดียวในชีวิตที่มีอยู่) acaulescent, epiphyte รูปกรวยสูง 50 – 80 ซม แผ่กว้างได้ถึง 60 ซม.ใบรูปไข่ขนาด 45 - 90 ซม.สีเทาอมเขียวเนื่องจากมีเกล็ดสีเทาขนาดเล็กกระจายสม่ำเสมอหรือเป็นลายแนวนอน ขอบใบมีหนามสีน้ำตาลยาวประมาณ 4 มม.จัดให้อยู่ในฐานรูปแบบดอกกุหลาบ ช่อดอกบนเชิงสูงประมาณ 40 ซม. ตั้งตรงกิ่งก้านสาขายาว 5-6 ซม. รูปลูกศรขอบฟันสีชมพูสีขาวมีขนมีไตรโครมใต้ช่อดอกยาวได้ถึง 9 ซม. ช่อดอกหนาแน่นแตกกิ่งที่ฐานด้านบนเรียบง่าย ดอกย่อยมีกาบยาว 4 - 5 ซม. รูปสามเหลี่ยมแคบขอบฟันสีชมพูสดใสปกคลุมด้วยเชื้อราไตรโครเมี่ยม กลีบเลี้ยงยาว 10 มม. โค้งมนสีชมพูกุหลาบและปกคลุมด้วยไตรโฮม กลีบดอกยาว 3 ซม. ปลายมน สีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูและเกือบขาวไปทางฐาน รังไข่ยาว 6 – 8 มม. กว้าง 5 – 6 มม.รูปกรวยมีใบไตรโครม หากมีการดูแลที่ดี กาบดอกจะ อยู่ ได้นานถึงหกเดือน ผลไม้มีเนื้อเป็นรูปทรงกลมสีขาว ซึ่งสุกในเวลา 8-9 เดือน เมล็ดรูปแกน ยาวประมาณ 2 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการร่มเงาบางส่วน แต่ยังสามารถทนแสงแดดได้ ชอบดินซึ่งอุดมไปด้วยสารอินทรีย์มีความชื้น แต่ระบายน้ำได้ดี ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อมันเติบโตตามธรรมชาติ รากถูกปกคลุมด้วยมอสหรือเฟิร์นต้นไม้บดหยาบห่อหุ้มในภาชนะหรือต่อติดกับพื้นผิวของก้อนหิน เปลือกไม้ขรุขระ กำแพงหินหรือกิ่งไม้ อุณหภูมิที่เหมาะสม 20-24 ° C ทนอุณหภูมิต่ำสุดที่ -2/-3°C แม้ว่าจะมีความเสียหายต่อใบไม้ อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---พืชได้รับความชื้นและสารอาหารที่ต้องการผ่านทางใบ วิธีที่ดีที่สุดคือเติมน้ำ1/4 ถึง 1/2 ตรงกลางที่ดอกไม้โผล่ออกมา ใจกลางของต้นไม้จะเริ่มเน่าหากเก็บน้ำไว้จนเต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว อย่าลืมล้างด้วยน้ำจืดทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อไม่ให้แบคทีเรียสะสม ฉีดพ่นสเปรย์น้ำใบไม้เป็นครั้งคราวเป็นระยะ ๆสัปดาห์ละครั้ง เมื่ออากาศแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย---สามารถใช้ ปุ๋ยกล้วยไม้อเนกประสงค์เจือจาง (ความเข้มข้นครึ่งหนึ่ง) หรือปุ๋ยสำหรับพืชอากาศ เดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---โรครากเน่าอาจเป็นปัญหาได้หากดินชื้นเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชที่เหมาะที่จะปลูกไว้ ในห้องนอนเพราะคายออกซิเจนออกมาตอนกลางคืนและดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เรื่องการดูดสารพิษก็ได้แต่เพียงเล็กน้อย รู้จักอันตราย---ไม่เป็นพิษต่อแมวหรือสุนัข ระยะออกดอก--- ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ (เมล็ดต้องใช้เวลา 5-6 ปีในการออกดอก และใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีโดยการแยกหน่อ)
ทิลแลนเซีย(Tillandsia)/Tillandsia Ionantha
[til-LAND-see-uh eye-oh-NAN-tha]
ชื่อวิทยาศาสตร์---Tillandsia Ionantha Planch.(1855) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Basionym: Tillandsia erubescens H.Wendl.(1854) [Illegitimate] ---Pityrophyllum erubescens Beer.(1856) [Illegitimate] ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-269169 ชื่อสามัญ---Air plant, Blushing bride, Blushing bride air plant, Sky plant ชื่ออื่น---ทิลแลนเซียรากอากาศ ;[FRENCH: Fiancée rougissante.];[SPANISH: Gallito, Tenchito.] ชื่อวงศ์---BROMELIACEAE EPPO Code---TLDIO (Preferred name: Tillandsia Ionantha.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--- เม็กซิโก คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นิคารากัว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Tillandsia' คือชื่อที่ Carl Linnaeus ตั้งในปี 1738 เพื่อเป็นเกียรติแก่แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวฟินแลนด์ Elias Tillandz (เดิมคือ Tillander) (1640-1693) ; ชื่อสายพันธุ์ 'ionantha' มาจากภาษาละติน แปลว่า "ด้วยดอกไม้สีม่วง" Tillandsia Ionantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์สับปะรดสี (Bromeliaceae) สกุล Tillandsia ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Jules Émile Planchon ในปี พ.ศ. 2398 มี 2 ความหลากหลาย (Varieties) ที่ยอมรับ;- --- Tillandsia ionantha var. ionantha - most of species range --- Tillandsia ionantha var. stricta Koide - Oaxaca มี 3 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ;- -Tillandsia ionantha 'Feugo' - หายากกว่าเล็กน้อยรูปแบบนี้เป็นที่รู้จักสำหรับใบสีแดงเข้มที่เกิดขึ้นเมื่อพืชได้รับแสงแดดเพียงพอ พวกมันยังเติบโตเป็นกระจุกหนาแน่น -Tillandsia ionantha 'Rubra' - พันธุ์เล็ก ๆ ที่ในรูปแบบที่นุ่มนวลเติบโตในรูปแบบที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีรูปแบบแข็งที่มีรูปร่างตรงมากขึ้น -Tillandsia ionantha 'Maxima' - Ionanthas ไม่ใช่พืชอากาศขนาดใหญ่ แต่ Maxima มีขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ทั่วไปมากและสามารถรับมือกับดวงอาทิตย์โดยตรงได้มากขึ้นด้วย ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกา พบในเม็กซิโก คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัสและนิคารากัว แนะนำ (เพาะปลูก) ในสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) เติบโตในแหล่งที่อยู่อาศัยในเขตร้อนชื้นทั้งแบบ xeric และ mesicที่ระดับความสูง 10-1,800 เมตร ลักษณะ เป็นพืช epiphyte ขนาดเล็กมีความสูงถึง 8-12 ซม.ใบสีเขียวเทาเป็นกระจุกเป็นรูปทรงกลม ใบยาว 4-9 ซม.กว้าง 0.6–1 ซม เมื่อเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ใบไม้ที่บางและยาวจะยืดออกไปสีจะเข้มขึ้นและมีลักษณะเป็นคลื่นมากขึ้น ใบประดับเป็นแผ่นสามเหลี่ยมแคบกว้าง 0.3-0.4 ซม.ช่อดอกแบบผสม (ลักษณะเรียบง่ายเนื่องมาจากยอดลดลงเหลือ 1 ดอก) มี 1-3 ดอก ดอกไม้สีเหลืองหรือสีขาวขนาดเล็กเกิดขึ้นที่ด้านบนของยอดอ่อนสีม่วงที่โดดเด่น ในช่วงดอกบานนี้ใบไม้บนพืชจะดูสะดุดตามากขึ้นด้วยการพัฒนาเฉดสีชมพูหรือสีแดง ผลเป็นแคปซูลยาวประมาณ 2.5-4.5 ซม.บรรจุเมล็ดแต่ละอันมีขนเป็นกระจุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการตำแหน่งที่สว่างมากและสภาพกึ่งร่มเงา พัฒนาได้ดีแม้ภายใต้แสงประดิษฐ์ แสงแดดโดยตรงกลางแจ้งบางแห่งก็ใช้ได้เช่นกัน แต่ต้องมีการพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำสม่ำเสมอ และการไหลเวียนของอากาศที่ดี พืชชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ามีความแข็งแกร่ง ปรับตัวได้ และต้องการการบำรุงรักษาน้อยที่สุด การรดน้ำ---ในสภาพอากาศชื้นให้ฉีดน้ำด้วยละอองน้ำหรือสเปรย์เบา ๆ วันเว้นวัน ในสภาพแห้งให้รดน้ำทุกวัน ไม่ว่าในสภาพใดพืชจะต้องแห้งภายในสองสามชั่วโมง การไหลเวียนของอากาศสามารถช่วยในการทำให้แห้ง แช่พืชเดือนละครั้งหรือสองครั้งเป็นเวลา 20 นาทีในน้ำพร้อมปุ๋ยหรือในน้ำฝนที่สะอาดหรือน้ำจากแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติ (ลำธารทะเลสาบบ่อน้ำ) อย่าปล่อยให้พืชแช่ในน้ำหรือดินหรือเปียกชื้นนานกว่าสามชั่วโมง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง นอกจากกำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเท่าที่จำเป็นเดือนละครั้งหรือสองครั้งโดยปกติในระหว่างการแช่น้ำ พันธุ์นี้ต้องการปุ๋ยที่สามารถดูดซึมเข้าสู่พืชได้โดยตรงทางใบ ใช้ปุ๋ย Bromeliad (17-8-22) เดือนละสองครั้งในฤดูร้อนและใช้เดือนละหนึ่งครั้งในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ดูเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และ Scales การระบาดของเพลี้ยแป้งก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยเช่นกัน การล้างพืชแล้วแขวนให้แห้งก็เพียงพอที่จะกำจัดพวกมันได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เช่นเดียวกับพืชในอากาศทุกชนิดไม่ควรใส่ Tillandsia ionantha ลงในวัสดุปลูกทั่วไป มันเป็นสายพันธุ์ epiphytic ที่มีความสามารถในการเติบโตบนพืชอื่น ๆ หรือโดยทั่วไปแล้วบนกิ่งก้านของต้นไม้ บนพื้นผิวที่เป็นของแข็งที่ไม่กักเก็บน้ำ คุณสามารถกาวพืชกับพื้นผิวโดยตรงด้วยกาวที่แข็งแรงหรือคุณสามารถพันลวดต้นไม้เข้ากับฐานก็ได้ สามารถปลูกได้บนแท่นตกแต่งเกือบทุกชนิดเท่าที่จะจินตนาการได้รวมถึงในขวดแก้วหรือแม้แต่ซ่อนไว้ในเปลือกหอย ผู้ที่ชื่นชอบ epiphyte บางคนถึงกับใช้ wireframes ในการแขวนต้นไม้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' ปัจจุบันสายพันธุ์นี้เติบโตในเชิงพาณิชย์และผลิตเป็นจำนวนมาก และเป็นหนึ่งใน Bromeliads ที่มีอยู่ทั่วไปมากที่สุด (Pemberton และ Liu 2007) ซึ่งอาจช่วยลดแรงกดดันในการเก็บรวบรวมในป่า สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2013) ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---แยกหน่อ
ทิลแลนเซีย/Wallisia lindeniana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wallisia lindeniana (Regel) É.Morren.(1870) ชื่อพ้อง --- Has 6 Synonyms ---Basionym: Tillandsia lindeniana Regel.(1869) ---Tillandsia lindenii (Regel) Regel.(1970) ---Tillandsia umbellata André.(1886) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77177396-1#synonyms ชื่อสามัญ---Air Plant, Pink Quill, Blue-flowerered torch, Tillandsia ชื่ออื่น---ทิลแลนเซีย ;[FRENCH: Torche à fleur bleue.];[ITALIAN: Tillandsia.];[SWEDISH : Väktaren i tornet (Svenska).] ชื่อวงศ์---BROMELIACEAE EPPO Code---TLDLI (Preferred name: Wallisia lindeniana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เอกวาดอร์ เปรู นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Tillandsia' คือชื่อที่ Carl Linnaeus ตั้งในปี 1738 เพื่อเป็นเกียรติแก่แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวฟินแลนด์ Elias Tillandz (เดิมคือ Tillander) (1640-1693) ; ชื่อสายพันธุ์ 'lindeniana' มาจากผู้ค้นพบคือJean Jules Linden (1817–1898) นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมพืชชาวเบลเยียม Wallisia lindeniana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์สับปะรดสี (Bromeliaceae) สกุล Wallisia ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Eduard August von Regel (1815–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Jacques Edouard Morren (1833 –1886) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม ในปี พ.ศ.2413 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอกวาดอร์และเปรู เติบโตในป่าฝนบนลำต้นของต้นไม้โพรงไม้หรือแม้แต่หินและดินทราย ลักษณะ เป็นสายพันธุ์ epiphytic ขนาดกลางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรูปแบบและรูปทรงที่สะดุดตา Stemless ดอกกุหลาบ(Rosette) หลวมด้วยใบสีเข้มโค้ง ประมาณ 30 ถึง 50 ซม.กว้างและสูงถึง 40 ซม. ใบ:รูปสามเหลี่ยมแคบยาวไม่เกิน 40 ซม. ปลายใบเรียวยาวกว้างประมาณ 1.5 ซม. ที่ฐานสีเขียวเข้มมีแถบสีแดงหรือน้ำตาลเด่นกว่าที่ด้านบนที่ฐานของแต่ละใบ ช่อดอกรูปดอกไม้เป็นขนนกที่มีลักษณะคล้ายใบพายซึ่งอาจมีความยาวถึง 20 ซม. และประกอบด้วยกาบสีชมพูที่หนาแน่นและแบนซึ่งมีดอกขนาดใหญ่สีฟ้าโผล่ออกมา ดอกไม้รูปแพนซี่ตาสีขาว สีม่วงอมน้ำเงินเข้ม มีกลีบดอกสามกลีบซึ่งออกต่อเนื่องกันตามขอบของหนามแหลมระหว่างกาบครั้งละ 1 หรือ 2 อันดอกจะใช้เวลา 1-3 วันและยังคงให้ผลผลิตต่อไปอีก 1-3 เดือน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดกรองตลอดวันหรือร่มเงาบางส่วน ดินควรมีการระบายน้ำและระบายอากาศได้ดี สามารถใช้ส่วนผสมระหว่างดินปลูกกับวัสดุปลูกกล้วยไม้ได้ pH 5.5 - 7.5 ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 45% ต้องการอุณหภูมิประมาณ 24°C ในการออกดอก พืชชนิดนี้ส่วนใหญ่เมื่อออกดอกเสร็จแล้วกาบดอกก็จะเริ่มตาย ตามด้วยตัวเต็มวัย และจะสร้าง offsets หรือ 'Pups' หลายครั้งรอบ ๆ ฐานของมันเป็นรุ่นต่อไป สามารถจะแยก 'Pups' ออกจากต้นแม่พันธุ์ได้หากต้องการและปลูกเพื่อหวังว่าจะออกดอกในวันหนึ่งหรือจะปล่อยทิ้งไว้ที่ใดก็ได้ ในเวลานี้จะทำให้เกิดพุ่มไม้ขนาดใหญ่ที่น่าดึงดูดซึ่งอาจมีกาบดอกหลายดอกด้งแสดงในภาพ การรดน้ำ---พืชชอบอากาศชื้นและชื้นรอบตัว ฉีดน้ำใส่สัปดาห์ละครั้งหรือสัปดาห์ละสองครั้งในช่วงฤดูร้อน สามารถแช่ในน้ำ 5 นาทีสัปดาห์ละครั้ง แต่อย่าลืมปล่อยให้น้ำทั้งหมดระบายออก อย่าแช่โคนต้นเพราะอาจทำให้ก้านดอกเน่าได้ ใช้น้ำฝนหรือน้ำประปากรองเพื่อพ่นโบรมีเลียด น้ำอ่อนมีเกลือมากเกินไปและน้ำประปาบางชนิดมีคลอรีนและฟลูออไรด์ที่สามารถ ทิ้งคราบน้ำไว้บนใบไม้ได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง นอกจากกำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ย Bromeliad (17-8-22) เดือนละสองครั้งในฤดูร้อนและใช้เดือนละหนึ่งครั้งในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง ดูเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และ Scales การระบาดของเพลี้ยแป้งก็เป็นปัญหาที่พบบ่อยเช่นกัน/ โรครากเน่าหรือโคนเน่าอาจเกิดขึ้นได้หากดินชื้นเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบใช้ปรุงรสเนื้อสัตว์และอาหารอื่น ๆ ในอาหารแคริบเบียนละตินอเมริกาและเอเชีย มักจะถูกเพิ่มลงใน chutneys ซึ่งเป็นซอสที่มีผลไม้หรือผักที่รับประทานกับอาหารอื่น ๆ -ใช้ปลูกประดับ สายพันธุ์นี้เติบโตเร็วกว่าในกระถางซึ่งแตกต่างจากTillandsiaส่วนใหญ่ที่ชอบติดบนไม้หรือปลูกรากเปล่า ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---เมล๋ด แยกหน่อ
|
สกุลดราซีนา/Dracaena Vand. ex L.
วงศ์--ASPARAGACEAE
ชื่อสกุล Dracaena มาจากภาษากรีกว่า drakiana หมายถึง มังกรเพศเมีย ซึ่งสื่อถึงลักษณะพิเศษของ Dracaena draco ที่มีน้ำยางสีแดงภายในลำต้น ไม้สกุลนี้เป็นไม้พุ่มมีอายุอยู่ได้หลายปี เมื่อยังเล็กต้องการแสงแดดรำไรถึงครึ่งวัน โตเต็มที่สามารถปลูกกลางแดดเต็มวัน ลักษณะทั่วไปลำต้นกลมโตเต็มที่มีเนื้อไม้ใบรูปใบหอกปลายใบเรียวแหลมดอกสีขาวหรือเหลืองนวล มีกลิ่นหอมตอนกลางคืน ผลกลมสีส้มภายในมีเมล็ด1-3เมล็ดชนิด พันธุ์ ที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกกัน ดังต่อไปนี้
วาสนา/Dracaena fragrans
(Dra-SEE-nuh FRAY-granz)
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dracaena fragrans (L.) Ker Gawl. (1808) ชื่อพ้อง---Has 27 synonyms. ---Basionym: Aletris fragrans L. (1862) ---Cordyline fragrans (L.) Planch. (1850) ---Dracaena deremensis Engl.(1902) ---Sansevieria fragrans (L.) Jacq. (1803) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:534207-1#synonyms ชื่อสามัญ--Fragrant Dracaena, Dracaena, Cornstalk Dracaena, Striped dracaena, Sweet-scented dracaena, Compact dracaena, Corn plant. ชื่ออื่น---วาสนา, ประเดหวี ;[CAMEROON: Ikoko.];[CHINESE: Xiang long xue shu.];[CUBA: Dracena fragante, Falso ilang, Ilang-Ilang, Mártir del japón.];[DOMINICAN: Coco macaco, Palmita, Palmito.];[FINLAND: Tuoksutraakkipuu.];[FRENCH: Dracaena commun, Dragonnier d'Afrique tropicale, Dracaena à feuilles marginées de blanc, Dragonnier parfumé.];[GERMAN: Drachenbäume, Weißbunter Drachenbaum.];[JAPANESE: Dorasena deremenshisu, Shiroshima sennen boku.];[LESSER ANTILLES: Dracene, Sanddragon.];[MALAYSIA: Corn Palm (Eng).];[MOZAMBIQUE: Forest dracaena (Eng).];[NIGERIA: Ogihu, Olu-olu.];[PORTUGUESE: Coqueiro-de-vênus, Dracen, Pau-d'água.];[PUERTO RICO: Cocomacaco, Dracena, Drecina.];[SPANISH: Arbol de la felicidad, Dracaena, Palo de Brasil, Palos de la felicidad, Palmillo, Palo de agua, Parey, Tronco de Brasil.];[SRI LANKA: Bothal gas (meaning "bottle tree").];[SWEDISH: Doftdracena.];[THAI: Wassana, Pra dhe wi.];[VIETNAM: Thiết mộc lan, Phát lộc, Phát tài hoặc, Phất dụ thơm.]. ชื่อวงศ์--ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNDE (Preferred name: Dracaena fragrans.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์--- แองโกลา เบนิน แคเมอรูน คองโก ไอวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย กาบอง แกมเบีย กานา กินี อิเควทอเรียลกินี เคนยา มาลาวี โมซัมบิก ซูดาน แทนซาเนีย ยูกันดา แซมเบีย และซิมบับเว นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Dracaena' มาจากภาษากรีก "drakàina" ซึ่งเป็นของมังกรเพศเมีย ; ชื่อสายพันธุ์ 'fragrans' หมายถึงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม Dracaena fragrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ตอนแรกถูกวางไว้ใน สกุล Aloe ก่อนที่จะถูกย้ายไปยัง Pleomele, Sansevieria, Cordyline, Draco ก่อนที่จะพบว่ามันอยู่ใน สกุล Dracaena ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Bellenden Ker Gawler (1764–1842) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2351
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองทั่วทวีปแอฟริกาเขตร้อน จากซูดานใต้ไปยังประเทศโมซัมบิกตะวันตก โกตดิวัวและทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังแองโกลา (เบนิน แคเมอรูน คองโก ไอวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย กาบอง แกมเบีย กานา กินี อิเควทอเรียลกินี เคนยา มาลาวี โมซัมบิก ซูดาน แทนซาเนีย ยูกันดา แซมเบีย และซิมบับเว) เติบโตในภูมิภาคในป่าที่ราบลุ่มที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูง 600–2,250 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอายุหลายปี ที่มีลำต้นส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้ออ่อน ซึ่งอาจตั้งตรงหรือแตกกิ่งก้านสาขา สูงประมาณ 5-6 (15) เมตร เห็นข้อปล้องชัดเจนจากแผลที่เกิดจากใบแห้งร่วง ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-8 ซม.ยาว 30-70 ซม.ใบสีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อยาวได้ถึง 60 ซม.ดอกไม้แต่ละดอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 ซม. กลีบนอกสีน้ำตาลเรื่อ กลีบในสีขาว ดอกวาสนาจะออกเป็นช่อ เวลากลางคืนจะบานทั้งช่อ และส่งกลิ่นที่หอมมาก กลิ่นจะหอมตลบอบอวลหลัง 2 ทุ่มถึงตี 4 ใช้เวลาบานหมดต้น 8-10 วัน ผลมีเนื้อสีแดงอมส้มเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม.มีเมล็ดหลายเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่เหมาะสม สว่างแต่มีร่มเงาจากแสงแดดโดยตรง แต่ให้ความสำคัญ กับความทนทาน ต่อสภาพแวดล้อมในร่มที่หลากหลาย ตั้งแต่แสงเต็มที่ไปจนถึงแสงน้อย ความชื้นในอากาศเฉลี่ย 40-50% และอุณหภูมิระหว่าง 15°C – 24°C ชอบดินที่ร่วนซุยอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุมากมายความชื้นสม่ำเสมอ และระบายน้ำได้ดี มีความอดทนต่อการถูกทอดทิ้ง (เช่นระดับแสงน้อยและขาดน้ำ) การรดน้ำ---ให้น้ำเมื่อผิวดินด้านบน 1"-2" แห้งบางส่วน จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับความชื้นในดิน การรดน้ำตามกำหนดเวลาที่แน่นอนเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง ควรตรวจสอบว่าดินแห้งหรือชื้นเพียงใดก่อนเป็นความคิดที่ดีเสมอ -พ่นหมอกสัปดาห์ละครั้งเพื่อสุขภาพที่ดี -เช็ดใบด้วยผ้าหมาด สัปดาห์ละครั้ง เพื่อล้างใบ ความชื้นช่วยให้ใบไม้ชุ่มชื้นและในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดจากฝุ่น การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำสูตรสมดุลทุกสามสัปดาห์ งดใส่ปุ๋ยในช่วงพักตัว (ฤดูหนาว) ใบเหลืองหรือปลายใบสีน้ำตาลอาจเกิดจากการใส่ปุ๋ยมากเกินไป อาการเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับน้ำ ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อแมลงศัตรูพืชในกระถางส่วนใหญ่/ Pythium หรือราน้ำทำให้รากตาย ใบเหลือง และเหี่ยวแห้ง เชื้อรานี้โจมตีระบบราก ดังนั้นมันจะเริ่มเหี่ยวเฉาแม้จะรดน้ำปกติ ทำลายใบและลำต้นที่เป็นโรคใช้สเปรย์ฆ่าเชื้อราเพื่อกำจัดเชื้อราที่เหลืออยู่ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้มงคลในบ้าน ในฐานะต้นไม้กระถางในร่ม พันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดคือ: - 'Massangeana' มีลักษณะเป็นวงกว้างสีเหลืองตรงกลาง มีแถบสีเขียวเทาบางๆ ที่ด้านข้าง - 'Lindenii' มีแถบสีขาวครีมที่ขอบใบ - 'Victoriae' มีแถบสีเงินตรงกลางและขอบใบสีเหลืองซีด พืชชนิดนี้สามารถปลูกได้ในมุมที่ร่ม ห้องสว่าง หรือสำนักงานที่มีแต่หลอดไฟนีออน -อื่น ๆ เป็นพืชที่ใช้ในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารปนเปื้อนภายในอาคารเช่น โทลูอีนและไซลีน (toluene and xylene.) และกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ พิธีกรรม/ความเชื่อ---พันธุ์ไม้ชนิดนี้ไม่มีกำหนดเวลาออกดอกที่แน่นอนถือเป็นต้นไม้เสี่ยง ทายทั้งคนไทยคนจีน มีคติเชื่อกันว่า ใครปลูกได้เจริญงอกงาม ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนต้นวาสนาที่ปลูกไว้ และถ้าใครปลูกต้นวาสนาให้ออกดอกได้ จะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีทีเดียว -ชาว Chagga ในแทนซาเนีย เรียกต่นไม้นี้กันว่า "Masale" ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) ระยะออกดอก---ธันวาคม การขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ (ด้วยวิธีตัดลำต้นเป็นข้อ ๆยาว 10–20 ซม. นำไปวางไว้ในก้อนสำลีแช่น้ำ ประมาณ 1 เดือนต้นใหม่จะแตกออกมาตามตาที่ข้อต้น)
วาสนาอธิษฐาน/Dracaena fragrans ' Massangeana'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dracaena fragrans ‘Massangeana’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Corn Plant Dracaena, Fragrant Dracaena, Cornstalk Dracaena ชื่ออื่น---วาสนาอธิษฐาน, มังกรหยก ;[CHINESE: Hua ye qian nian mu.];[SWEDISH: Doftdracena.];[THAI: Wassana athithan, mangon yok.]. ชื่อวงศ์--ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNDE (Preferred name: Dracaena fragrans.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปแอฟริกาตั้งแต่ซูดานไปจนถึง โมซัมบิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Dracaena' มาจากภาษากรีก "drakàina" ซึ่งเป็นของมังกรเพศเมีย ; ชื่อสายพันธุ์ 'fragrans' หมายถึงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม Dracaena fragrans ‘Massangeana’ เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Dracaena fragrans สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองทั่วทวีปแอฟริกาเขตร้อน จากซูดานใต้ไปยังประเทศโมซัมบิกตะวันตก โกตดิวัวและทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังแองโกลา (เบนิน แคเมอรูน คองโก ไอวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย กาบอง แกมเบีย กานา กินี อิเควทอเรียลกินี เคนยา มาลาวี โมซัมบิก ซูดาน แทนซาเนีย ยูกันดา แซมเบีย และซิมบับเว) เติบโตในภูมิภาคในป่าที่ราบลุ่มที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูง 600–2,250 เมตร ลักษณะ คล้ายกับวาสนาเป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่ม อายุหลายปี สูง 5-10 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง ข้อปล้องถี่ เมื่อมีอายุมากขึ้นผิวเปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อน แผ่นใบกว้างประมาณ 10 ซม.ยาวถึง 1 เมตร มีลายด่างเป็นริ้วสีเขียวอมเหลืองที่กึ่งกลางใบ ต้นนี้บางทีเรียกกันว่าวาสนาเรือนใน ดอกเป็นช่อ ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกสีขาวหรือดอกชมพู กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 6 แฉก ดอกย่อยมีจำนวนมาก มีเกสรเพศผู้ 6 เกสร เกสรเพศเมีย 1 เกสร ดอกมีกลิ่นหอม กลิ่นแรงในช่วงกลางคืน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดแบบรำไรไปจนถึงแดดจัด ต้องการน้ำและแสงมาก เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับดินทุกประเภท การรดน้ำ---ให้น้ำเมื่อผิวดินด้านบน 1"-2" แห้งบางส่วน จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับความชื้นในดิน การรดน้ำตามกำหนดเวลาที่แน่นอนเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง ควรตรวจสอบว่าดินแห้งหรือชื้นเพียงใดก่อนเป็นความคิดที่ดีเสมอ -พ่นหมอกสัปดาห์ละครั้งเพื่อสุขภาพที่ดี -เช็ดใบด้วยผ้าหมาด สัปดาห์ละครั้ง เพื่อล้างใบ ความชื้นช่วยให้ใบไม้ชุ่มชื้นและในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดจากฝุ่น การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ควรให้ปุ๋ยพืชที่ละลายน้ำได้สูตร 5-10-5 หรือ 20-20-20 ทุกเดือนในช่วงฤดูปลูก เพื่อประหยัดเวลาและหลีกเลี่ยงการให้อาหารพืชทุกเดือนให้ใช้ปุ๋ยที่ปล่อยช้า เช่นออสโมโค้ท 3 เดือนหรือ 6 เดือนปุ๋ยเหล่านี้จะปล่อยสารอาหารทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อตะกรัน เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยไฟ ซึ่งเป็นศัตรูพืชทั่วไปของ Dracaena ทุกชนิด/ทนต่อโรคส่วนใหญ่ ใบไม้ที่มีสีน้ำตาลอาจเป็นสัญญาณของแสงแดดมากเกินไป ใบไม้สีเหลืองอาจหมายถึงน้ำมากเกินไปหรือแสงสว่างน้อยเกินไป ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้มงคลในที่ร่ม -อื่น ๆเป็นพืชที่ใช้ในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ พิธีกรรม/ความเชื่อ---พันธุ์ไม้ชนิดนี้ไม่มีกำหนดเวลาออกดอกที่แน่นอนถือเป็นต้นไม้เสี่ยง ทายทั้งคนไทยคนจีน มีคติเชื่อกันว่า ใครปลูกได้เจริญงอกงาม ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนต้นวาสนาที่ปลูกไว้ และถ้าใครปลูกต้นวาสนาให้ออกดอกได้จะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีทีเดียว ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม การขยายพันธุ์---ปักชำยอด หรือลำต้น
สายสะพายจอมพล/Dracaena fragrans 'Victoriae'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dracaena fragrans 'Victoriae' ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Fragrant Dracaena, Cornstalk Dracaena ชื่ออื่น---สายสะพายจอมพล, ควีนวิกตอเรีย, โรจน์ทะนง ;[THAI: Sai saphai chomphon, Queen Victoria, Roj tha nong.]. ชื่อวงศ์--ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNDE (Preferred name: Dracaena fragrans.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปแอฟริกาตั้งแต่ซูดานไปจนถึง โมซัมบิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Dracaena' มาจากภาษากรีก "drakàina" ซึ่งเป็นของมังกรเพศเมีย ; ชื่อสายพันธุ์ 'fragrans' หมายถึงดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม Dracaena fragrans 'Victoriae' เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Dracaena fragrans สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์เต็มว่า Dracaena fragrans 'Victoriae' ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองทั่วทวีปแอฟริกาเขตร้อน จากซูดานใต้ไปยังประเทศโมซัมบิกตะวันตก โกตดิวัวและทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังแองโกลา (เบนิน แคเมอรูน คองโก ไอวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย กาบอง แกมเบีย กานา กินี อิเควทอเรียลกินี เคนยา มาลาวี โมซัมบิก ซูดาน แทนซาเนีย ยูกันดา แซมเบีย และซิมบับเว) เติบโตในภูมิภาคในป่าที่ราบลุ่มที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูง 600–2,250 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่ม อายุหลายปี สูง 5-10 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง ข้อปล้องถี่ เมื่อมีอายุมากขึ้นผิวเปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อน แผ่นใบกว้างประมาณ 10 ซม.ยาวถึง 1 เมตร ขอบใบเป็นลอน มีแถบด่างพาดเป็นริ้วสีเขียวอ่อนสลับเหลืองอ่อนหรือขาวครีม ดูสวยงามมาก ไม่แตกแขนงกิ่ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดแบบรำไร ไม่ควรปลูกกลางแจ้ง จะทำให้ใบไหม้ พยายามหาตำแหน่งที่มีการกรองแสง แสงที่น้อยเกินไปจะส่งผลให้ใบไม้สูญเสียลวดลาย ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดี ความชื้นประมาณ 40% การรดน้ำ---ใช้น้ำที่ไม่มีฟลูออไรด์เนื่องจากไวต่อฟลูออไรด์ ให้น้ำเมื่อผิวดินด้านบน 1"-2" แห้งบางส่วน จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับความชื้นในดิน การรดน้ำตามกำหนดเวลาที่แน่นอนเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยง ควรตรวจสอบว่าดินแห้งหรือชื้นเพียงใดก่อนเป็นความคิดที่ดีเสมอ -พ่นหมอกสัปดาห์ละครั้งเพื่อสุขภาพที่ดี -เช็ดใบด้วยผ้าหมาด สัปดาห์ละครั้ง เพื่อล้างใบ ความชื้นช่วยให้ใบไม้ชุ่มชื้นและในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดจากฝุ่น การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยพืชที่ละลายน้ำได้สูตร 5-10-5 หรือ 20-20-20 ทุกเดือนในช่วงฤดูปลูก หรือใช้ปุ๋ยที่ปล่อยช้า เช่นออสโมโค้ท 3 เดือนหรือ 6 เดือน ใช้อาหารเสริมแคลเซียม (แคลเซียมที่มีคีเลตหรือแม้แต่ยิปซัม) เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายใบไหม้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อตะกรัน เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยไฟ ซึ่งเป็นศัตรูพืชทั่วไปของ Dracaena ทุกชนิด/ทนต่อโรคส่วนใหญ่ ใบไม้ที่มีสีน้ำตาลอาจเป็นสัญญาณของแสงแดดมากเกินไป ใบไม้สีเหลืองอาจหมายถึงน้ำมากเกินไปหรือแสงสว่างน้อยเกินไป ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้มงคล เป็นไม้ประดับภายใน ถือเป็นต้นที่สวยที่สุดในชนิดนี้ -อื่น ๆเป็นพืชที่ใช้ในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ พิธีกรรม/ความเชื่อ---พันธุ์ไม้ชนิดนี้ไม่มีกำหนดเวลาออกดอกที่แน่นอนถือเป็นต้นไม้เสี่ยง ทายทั้งคนไทยคนจีน มีคติเชื่อกันว่า ใครปลูกได้เจริญงอกงาม ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนต้นวาสนาที่ปลูกไว้ และถ้าใครปลูกต้นวาสนาให้ออกดอกได้จะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีทีเดียว ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม การขยายพันธุ์---ปักชำยอด หรือลำต้น
วาสนาเขาแกะ/Dracaena ‘Dragon Series’
Dragon Series Dracaena ทั้งหมด ของพันธุ์เหล่านี้ ได้รับการอบรมคัดเลือกและผลิต ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดย Dracaenakwekerij Dragon Series Dracaena ภายใต้ชื่อ 'De Plaats' BV แม้ว่าจะมีตราสินค้าภายใต้ชื่อ Dragontree แต่คุณมักจะเห็นพวกเขาขายในชื่อ Dragon Series หรือเป็นพันธุ์ที่มีชื่อเป็นรายบุคคล พันธุ์ทั้งหมดได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรพืช ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ขยายพันธุ์เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์เว้นแต่คุณจะได้รับใบอนุญาต Lemon Surprise เป็นหนึ่งในพันธุ์ที่แพร่หลายมากที่สุดในตลาดและมีนิสัยการเติบโตที่แตกต่างกัน พืชมีขอบสีมะนาวขนาดใหญ่ตามขอบใบ สีจะแปรผันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณแสงที่พืชได้รับส่วนด้านในของใบเป็นสีเขียวอมเทามีเส้นสีขาวเล็กน้อยระหว่างนั้นกับขอบสีเขียวมะนาว
วาสนาราชินี/Dracaena goldieana
Picture: https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Dracaena_goldieana ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dracaena goldieana Bullen ex Mast. & T Moore.(1872) ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms ---Draco goldieana (Bullen ex Mast. & T.Moore) Kuntze. (1891). ---Pleomele goldieana (Bullen ex Mast. & T.Moore) N.E.Br. (1914). ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:534219-1#synonyms ชื่อสามัญ----Queen of Dracaena ชื่ออื่น---วาสนาราชินี ;[CHINESE: Hu ban qian nian mu.];[FRENCH: Dracaena de Malaisie à feuilles marbrées.];[RUSSIAN: Dracaena goldicana.];[SPANISH: Dracena de Nigeria.] ชื่อวงศ์--ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNSS (Preferred name: Dracaena sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปแอฟริกาตั้งแต่ซูดานไปจนถึง โมซัมบิก Dracaena goldieana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Bullen (1868 – 1892) ภัณฑารักษ์ของสวนพฤกษศาสตร์กลาสโกว์จากอดีต Maxwell Tylden Masters (1833–1907) นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Moore (1821–1887) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองทวีปแอฟริกาเขตร้อน จากซูดานใต้ไปยังประเทศโมซัมบิกตะวันตก เติบโตในภูมิภาคในป่าที่ราบลุ่มที่แห้งแล้ง ที่ระดับความสูง 600–2,250 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มที่มีลำต้นส่วนใหญ่เป็นไม้ล้มลุกหรือเป็นไม้เนื้ออ่อน ซึ่งอาจตั้งตรงหรือแตกกิ่งก้านสาขาสูง 60 ซม. ทรงใบใหญ่เป็นลักษณะพิเศษ ใบรูปไข่ปลายแหลม ออกสลับรอบลำต้น สีเขียวอมเหลืองอ่อน มีลายแต้มสีเขียวอมเทาสลับสีเขียวเข้มในแนวขวาง ใต้ใบสีม่วงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดแบบรำไร เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ระบายน้ำได้ดี สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับดินทุกประเภท อัตราการเริญเติบโต ช้า การรดน้ำ---รดน้ำทุก 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระดับความชื้นของดิน ไวต่อการรดน้ำมากเกินไป -พ่นหมอกสัปดาห์ละครั้งเพื่อสุขภาพที่ดี -เช็ดใบด้วยผ้าหมาด สัปดาห์ละครั้ง เพื่อล้างใบ ความชื้นช่วยให้ใบไม้ชุ่มชื้นและในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดจากฝุ่น การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ควรให้ปุ๋ยพืชที่ละลายน้ำได้สูตร 5-10-5 หรือ 20-20-20 ทุกๆ 6-8 สัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยที่ปล่อยช้า เช่นออสโมโค้ท 3 เดือนหรือ 6 เดือนปุ๋ยเหล่านี้จะปล่อยสารอาหารทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อแมลงศัตรูพืชในกระถางส่วนใหญ่ ระวัง เพลี้ยแป้งและไรเดอร์/ Pythium หรือราน้ำทำให้รากตาย ใบเหลือง และเหี่ยวแห้ง เชื้อรานี้โจมตีระบบราก ดังนั้นมันจะเริ่มเหี่ยวเฉาแม้จะรดน้ำปกติ ทำลายใบและลำต้นที่เป็นโรคใช้สเปรย์ฆ่าเชื้อราเพื่อกำจัดเชื้อราที่เหลืออยู่ ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นไม้มงคล เป็นไม้ประดับภายใน ถือเป็นต้นที่สวยที่สุดในชนิดนี้ -อื่น ๆเป็นพืชที่ใช้ในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ พิธีกรรม/ความเชื่อ---เชื่อกันว่า ใครปลูกได้เจริญงอกงาม ก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนต้นวาสนาที่ปลูกไว้ การขยายพันธุ์---ปักชำยอด หรือลำต้น ขยายพันธุ์ยาก
หวายเขียว/Dracaena reflexa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena reflexa Lam.(1786) ชื่อพ้อง ---Has 5 Synonyms ---As basionym: Cordyline reflexa (Lam.) Endl.(1842) ---Draco reflexa (Lam.) Kuntze. (1891) ---Pleomele reflexa (Lam.) N.E.Br.(1914) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:534338-1#synonyms ชื่อสามัญ---Song of India, Malaisian dracaena. ชื่ออื่น---หวายเขียว, ซองออฟอินเดีย; [FRENCH: Bois de chandelle.];[INDONESIA: Nyanyian dari India.];[RUSSIAN: Dratsena otognutaia.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DCLRE (Preferred name: Dracaena reflexa.) ถิ่นกำเนิด---มาดากัสการ์ มอริเชียส เขตกระจายพันธุ์---โมซัมบิก มาดากัสการ์ มอริเชียส และเกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ของ มหาสมุทรอินเดีย นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสายพันธุ์ reflexaจากคำภาษาละติน 'reflexus'= ดัดหลัง Dracaena reflexa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์ และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2329 Accepted Infraspecifics Includes 13 Accepted Infraspecifics พันธุ์ต่างๆ (Varieties) ณ เดือนพฤศจิกายน 2017 จากรายการตรวจ สอบโลกของครอบครัวพืช (The World Checklist of Selected Plant Families) ที่เลือกยอมรับพันธุ์ต่อไปนี้ซึ่งอธิบายมากที่สุดจากมาดากัสการ์ : - Dracaena reflexa var. angustifolia Baker – หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียตะวันตก - Dracaena reflexa var. bakeri (Scott Elliot) H.Perrier – ตะวันออกเฉียงใต้ของมาดากัสการ์ - Dracaena reflexa var. brevituba H.Perrier – มาดากัสการ์ตอนกลาง - Dracaena reflexa var. condensata H.Perrier – ตะวันออกเฉียงใต้ของมาดากัสการ์ - Dracaena reflexa var. lanceolata H.Perrier – มาดากัสการ์ - Dracaena reflexa var. linearifolia Ayres ex Baker – Mascarenes, Madagascar - Dracaena reflexa var. nervosa H.Perrier – Madagascar - Dracaena reflexa var. occidentalis H.Perrier – ทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมาดากัสการ์ - Dracaena reflexa var. parvifolia Thouars ex H.Perrier – มาดากัสการ์ตะวันออก - Dracaena reflexa var. reflexa – โมซัมบิกตะวันออกเฉียงเหนือ, หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียตะวันตก - Dracaena reflexa var. salicifolia (Regel) Baker – Madagascar - Dracaena reflexa var. subcapitata H.Perrier – มาดากัสการ์ตะวันออก - Dracaena reflexa var. subelliptica H.Perrier – มาดากัสการ์ตะวันออก ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองโมซัมบิก ,มาดากัสการ์ ,มอริเชียสและหมู่เกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 5เมตร แตกกิ่งก้านมาก ลำต้นกลมเล็ก ใบรูปรีปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน กว้างประมาณ 4-5ซม.ยาว15-20ซม. ช่อดอกออกที่ปลายยอด ดอกมีขนาดเล็ก กระจุก มักมีสีขาวและมีกลิ่นหอมมาก ผลกลมสีแดงอมส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดโดยตรงหรือกึ่งร่มเงา พืชอาจเติบโตเป็นเกลียวหากได้รับแสงไม่เพียงพอ เมื่อปลูกในที่ร่ม ควรรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 18 °C ถึง 25 °C ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 40% ชอบดินโปร่งและระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว การรดน้ำ---ทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยในฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วง แห้งเล็กน้อยในฤดูหนาว อย่าให้ดินขังน้ำ จะทำให้รากเน่าได้ ชอบความชื้นสูง ปลายใบอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหากความชื้นต่ำเกินไป ให้พ่นหมอกสัปดาห์ละครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนด้วยปุ๋ยที่ละลายน้ำได้สูตรสมดุล (เช่น 10-10-10) เจือจางครึ่งหนึ่ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---โรคใบจุด มีจุดสีน้ำตาลขอบเหลือง สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้ใบแห้งสนิทและลดความชื้นรอบๆ จากนั้นเอาใบที่เป็นโรคและวัสดุจากพืชที่ตายแล้วที่อาจร่วงอยู่บนดินออก หากโรคยังคงอยู่ ต้องฉีดพ่น น้ำมันสะเดา หรือ ยาฆ่าเชื้อรา ให้กับ พืช ศัตรูพืช/โรคพืช---โรคใบจุด มีจุดสีน้ำตาลขอบเหลือง สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้ใบแห้งสนิทและลดความชื้นรอบๆ จากนั้นเอาใบที่เป็นโรคและวัสดุจากพืชที่ตายแล้วที่อาจร่วงอยู่บนดินออก หากโรคยังคงอยู่ ต้องฉีดพ่น น้ำมันสะเดา หรือ ยาฆ่าเชื้อรา ให้กับ พืช ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะที่เป็นไม้ประดับและไม้กระถาง - อื่น ๆเป็นหนึ่งในพืชที่ใช้ในการศึกษาเรื่อง Clean Air Study ของ NASAและได้แสดงให้เห็นแล้วว่าช่วยขจัด Formaldehyde ได้ เป็นต้นไม้ที่ใช้ ฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ และได้รับการกล่าวขานว่า เป็นหนึ่งในพืชที่ดีที่สุดสำหรับการกำจัด Xylene และ Trichloroethylene. ได้รับรางวัล---พันธุ์ Dracaena reflexa 'Variegata' ได้รับรางวัล AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2017 ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้น
ซองออฟอินเดีย/Dracaena reflexa 'Song of India'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena reflexa 'Song of India' ชื่อพ้อง ---Dracaena reflexa variegata 'Song-of-India', ชื่อสามัญ---Agave reflexa 'Variegata', Song of India, Pleomele ชื่ออื่น---หวายเขียว, ซองออฟอินเดีย ;[FRENCH : Bois de chandelle.];[INDONESIA: Nyanyian dari India.];[RUSSIAN: Dratsena otognutaia.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DCLRE (Preferred name: Dracaena reflexa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา โมซัมบิก มาดากัสการ์ มอริเชียส Dracaena reflexa 'Song Of India' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Dracaena reflexa สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโมซัมบิก มาดากัสการ์ มอริเชียส และเกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ของ มหาสมุทรอินเดีย มีการปลูกในสภาพอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหลายลำต้นตั้งตรง สามารถเติบโตได้สูงถึง 2 - 6 เมตร แผ่นใบหนา ใบด่างเหลืองกลางใบมองเห็นแถบเขียวชัดเจนและที่ปลูกกันมีอีกแบบคือใบมี 3 สี มีแถบเขียวอมเทา กลางใบถัดออกมาเป็นสีเหลืองนวล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่ที่มีแสงแดดตลอดวันและแสงรำไร หรือตำแหน่งที่มีแสงสว่างทางอ้อม ดินโปร่งอุดมด้วยฮิวมัสและดินร่วนและระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว pH ของดินที่เหมาะสมคือ 6.0-6.5 อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 16 - 26 ℃ ทนความเย็นน้อยกว่าและอาจเสียหายได้ต่ำกว่า 10 ℃ ต้องการการบำรุงรักษาปานกลาง การรดน้ำ---ปล่อยให้ส่วนบน 50% ของดินแห้งก่อนรดน้ำ ชอบความชื้นสูง ปลายใบอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหากความชื้นต่ำเกินไป ให้พ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำสัปดาห์ละครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยมีความจำเป็น ใบแก่ที่อยู่ใต้ก้านจะเหี่ยวเฉาโดยธรรมชาติและต้องกำจัดออกให้ทันเวลาเท่านั้น และใบใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้นสูง สามารถควบคุมความสูงได้โดยการตัดแต่งกิ่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนด้วยปุ๋ยที่ละลายน้ำได้สูตรสมดุล (เช่น 10-10-10) เจือจางครึ่งหนึ่ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อเพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้ง พืชที่ติดเชื้อ สามารถล้างด้วยน้ำแรงดันสูงหรือเช็ดโดยตรงด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ ในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง สามารถฉีดพ่นยาฆ่าแมลงที่มีสาร pyrethrins ได้โดยตรง /มีความไวต่อน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน อาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลืองบนใบ หรืออาจเกิดจากไรเดอร์ ในกรณีที่ติดเชื้อไม่รุนแรง สามารถล้างใบด้วยน้ำซ้ำได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะที่เป็นไม้ประดับและไม้กระถาง สามารถปลูกในดินหรือในภาชนะขนาดใหญ่ในที่ร่ม ควรเปลี่ยนดินในกระถาง ทุกสองหรือสามปี -อื่น ๆในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA -Dracaena reflexa 'Song-of-India',ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้น
ซองออฟจาไมก้า/Dracaena reflexa 'Song of Jamaica'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena reflexa 'Song of Jamaica' ชื่อพ้อง ---Dracaena reflexa variegata 'Song of Jamaica' ชื่อสามัญ---Song of Jamaica, Pleomele, Dragon Tree Song of Jamaica. ชื่ออื่น---หวายเขียว, ซองออฟจาไมก้า ;[FRENCH : Bois de chandelle.];[INDONESIA: Nyanyian dari India.];[RUSSIAN: Dratsena otognutaia.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DCLRE (Preferred name: Dracaena reflexa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา โมซัมบิก มาดากัสการ์ มอริเชียส และเกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ของ มหาสมุทรอินเดีย Dracaena reflexa 'Song of Jamaica' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Dracaena reflexa สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโมซัมบิก มาดากัสการ์ มอริเชียส และเกาะใกล้เคียงอื่น ๆ ของ มหาสมุทรอินเดีย มีการปลูกในสภาพอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก ลักษณะ คล้ายซองออฟอินเดียแต่กลางใบเป็นแถบด่างเหลือง สลับริ้วสีเขียวบ้างเล็กน้อย เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นกลม ทรงพุ่มทึบบริเวณยอดกว้างประมาณ 2 เมตร แตกกิ่งตามข้อ แตกหน่อจากโคนต้น กิ่งอ่อนโน้มลงเล็กน้อย เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ๆ ที่ปลายกิ่ง ใบรูปใบหอกกว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 5-8 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียว กลางใบมีแถบสีเขียวอ่อนตามแนว ยาวของใบ ดอกสีขาวนวล ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว ประมาณ 0.5ซม.ไม่พบว่ามีดอกในประเทศไทย ผลสด ค่อนข้างกลมสีแดงอมส้ม มีหลายเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่ที่มีแสงแดดตลอดวันและแสงรำไร หรือตำแหน่งที่มีแสงสว่างทางอ้อม ดินโปร่งอุดมด้วยฮิวมัสและดินร่วนและระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว pH ของดินที่เหมาะสมคือ 6.0-6.5 อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 16 - 26 ℃ ทนความเย็นน้อยกว่าและอาจเสียหายได้ต่ำกว่า 10 ℃ ต้องการการบำรุงรักษาปานกลาง การรดน้ำ---ปล่อยให้ส่วนบน 50% ของดินแห้งก่อนรดน้ำ ชอบความชื้นสูง ปลายใบอาจเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหากความชื้นต่ำเกินไป ให้พ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำสัปดาห์ละครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยมีความจำเป็น ใบแก่ที่อยู่ใต้ก้านจะเหี่ยวเฉาโดยธรรมชาติและต้องกำจัดออกให้ทันเวลาเท่านั้น และใบใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้นสูง สามารถควบคุมความสูงได้โดยการตัดแต่งกิ่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ทุก 2 สัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนด้วยปุ๋ยที่ละลายน้ำได้สูตรสมดุล (เช่น 10-10-10) เจือจางครึ่งหนึ่ง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อเพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้ง พืชที่ติดเชื้อ สามารถล้างด้วยน้ำแรงดันสูงหรือเช็ดโดยตรงด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ ในกรณีที่ติดเชื้อรุนแรง สามารถฉีดพ่นยาฆ่าแมลงที่มีสาร pyrethrins ได้โดยตรง /มีความไวต่อน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน อาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลืองบนใบ หรืออาจเกิดจากไรเดอร์ ในกรณีที่ติดเชื้อไม่รุนแรง สามารถล้างใบด้วยน้ำซ้ำได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะที่เป็นไม้ประดับและไม้กระถาง สามารถปลูกในดินหรือในภาชนะขนาดใหญ่ในที่ร่ม ในการศึกษาอากาศบริสุทธิ์ของ NASA -Dracaena reflexa'Song of Jamaica' ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดสารพิษจำนวนมากออกจากสิ่งแวดล้อมได้ ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้น
ค้อนหมาขาว (พร้าวพันลำ)/Dracaena angustifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena angustifolia (Medik.) Roxb.(1814) ชื่อพ้อง --- Has 25 Synonyms. ---Basionym: Terminalis angustifolia Medik.(1786) ---Cordyline rumphii Hook.(1847) ---Dracaena rumphii (Hook.) Regel.(1871) ---Draco angustifolia (Roxb.) Kuntze.(1891) ---Pleomele angustifolia (Medik.) NEBr.(1914) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-304564 ชื่อสามัญ--- Nam Ginseng, Narrow-Leaf Dracaena, Narrow-Leaf Pleomele, Soap Tree ชื่ออื่น---พร้าวพันลำ, หมากพู่ป่า, ผักก้อนหมา, ผักหวานดง, คอนแคน ;[CAMBODIA: Angredek (Central Khmer).];[CHINESE: Meng la long xue shu, Zhǎng huā lóng xuè shù.];[FRENCH: Bois chandelle.];[INDONESIA: Daun Suji (Sunda).];[MALAYSIA: Suji.];MAORI: Rautī, Lautī.];[MYANMAR: Dan-la-ku, Dandagu, dantalet..];[THAI: Phrao phan lam.];[VIETNAM: Bồng bồng, Phất dũ sậy, Phất dũ lá hẹp, Phú quý, Bánh tét.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNAN (Preferred name: Dracaena angustifolia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกินี ออสเตรเลีย หมู่เกาะโซโลมอน Dracaena angustifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Kasimir Medikus (1736–1808) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ. 2357 ที่อยู่อาศัย พันธุ์พื้นเมืองของสายพันธุ์นี้มาจากบังคลาเทศผ่านอินโดจีนและมาเลเซียไปจนถึงออสเตรเลียตอนเหนือ ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูงได้ประมาณ 2-3 เมตร ลำต้นตั้งตรงเป็นต้นเดียวหรือแตกเป็นกอเล็กน้อย ลำต้นหนามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 ซม. เป็นรูปทรงกระบอก ต้นอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนสีเทา ใบสลับเป็นเกลียว ก้านใบยาว 1 ซม.ใบกว้าง 1.5 -2.5 x 2 -3 ซม.ก้านช่อดอก แตกแขนงยาว 30 -50 ซม ดอกไม้ในกลุ่ม 2 หรือ 3 ดอกสีเหลืองขนาด 0.7-0.8 ซม.ผลเบอร์รี่ทรงกลมสีส้มมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8 - 1.2 ซม.มีเมล็ด 1 หรือ 2 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดโดยตรงหรือกึ่งร่มเงา พืชอาจเติบโตเป็นเกลียวหากได้รับแสงไม่เพียงพอ เมื่อปลูกในที่ร่ม ควรรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 18 °C ถึง 25 °C ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 40% ชอบดินโปร่งและระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว การรดน้ำ---ไม่ต้องการน้ำมาก ควรปล่อยให้ส่วนบน 50% ของดินแห้งก่อนรดน้ำ ไม่ชอบความชื้นสูง การตัดแต่งกิ่ง---มักจะไม่จำเป็น แต่จะช่วยรักษารูปร่างและขนาดความสูงได้ เอาลำต้นที่ตายออกรวมทั้งก้านผล (ช่อ) ที่แห้งแล้ว การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำ1/2 ถึง 1 ช้อนชาผสมน้ำรดเดือนละครั้ง ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชชนิดนี้มีแมลงศัตรูพืชเพียงเล็กน้อย แต่มีความอ่อนไหวต่อแมลงทั่วไปที่มักรบกวนพืชในร่ม เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids), เพลี้ยแป้ง (mealybugs), Scales, ไรเดอร์ (spider mites) และแมลงหวี่ขาว (whiteflies) ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและยาในท้องถิ่น บางครั้งปลูกรอบหมู่บ้าน -ใช้กิน ใบอ่อน - ปรุงกินเป็นกับข้าว นำใบมาโขลกแล้วผสมกับน้ำเพื่อให้ได้น้ำสีเขียวที่ใช้สำหรับระบายสีขนมอินเดียที่ทำจากข้าวเหนียว ผลคั่วกินได้ -ใช้เป็นยา น้ำคั้นจากใบ ต้มดื่มเป็นยาแก้หอบหืดและหายใจถี่ ยาต้มใบให้กับคนที่น้ำหนักลดและไม่อยากอาหาร ตามการแพทย์แผนตะวันออกรากและดอกมีฤทธิ์ร้อนคุณสมบัติในการล้างพิษ น้ำใบใช้รักษาโรคบิดแก้มะเร็งเม็ดเลือดขาวและหนองใน ยาพื้นบ้านใช้รากและดอกรักษาโรคบิด -ใช้ปลูกประดับ ปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะที่เป็นไม้ประดับสำหรับสวนสาธารณะ, สวนทั่วไปและไม้กระถาง สามารถปลูกในดินหรือในภาชนะขนาดใหญ่ในที่ร่ม ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม/มิถุนายน-สิงหาคม ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการปักชำ (เมล็ดจะงอกใน 2 ถึง 6 เดือน และอัตราการงอกมักจะเพียง 5 ถึง 10%)
เข็มสามสี, ศรอนงค์ /Dracaena cincta 'Tricolor'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dracaena cincta Baker cv. Tricolor ชื่อพ้อง---Dracaena marginata 'Tricolor' ชื่อสามัญ---Rainbow Tree, Dragon Tree, Madagascar Dragon Tree, Narrow Leaf Dragon Palm, Spanish Dagger, Three-coloured Madagascar dragon tree ชื่ออื่น---เข็มสามสี, ศรอนงค์; [THAI: Khem sam si, Sorn Anong.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNSS (Preferred name: Dracaena sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dracaena' มาจากคำภาษากรีก 'drakaina'หมายถึงมังกรตัวเมีย ; ชื่อสายพันธุ์ 'cincta' หมายถึงขอบใบที่โดดเด่นของพืช Dracaena cincta Baker cv. Tricolor เป็นพันธุ์ไม้ที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของ Dracaena cincta สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย เกิดในประเทศญี่ปุ่น และต่อมาอเมริกาใต้นำไปขยายและแพร่พันธุ์ในรัฐฟลอริด้าเมื่อปี ค.ศ. 1973 ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 1.8-4.5 เมตร แตกกอพุ่มกว้าง 0.90-3 เมตร ลำต้นรูปทรงกระบอกแคบ ขนาดเล็ก ตั้งตรง ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรอบกิ่ง แตกใบถี่บริเวณส่วนปลายกิ่งหรือปลายยอดของลำต้น รูปแถบแคบยาว ปลายแหลม แผ่นใบกว้าง 1 ซม. ยาว 3.5 ซม.แผ่นใบมีสามแถบสี มีสีเขียวพาดกลางใบขอบใบเหลืองนวลทั้งสองข้าง ขลิบด้วยสีแดงอมชมพู ไปตามยาวของใบ เมื่อใบแก่หลุดร่วงทำให้ลำต้นส่วนโคนเปลือยและทิ้งรอยแผลเป็นรูปเพชรไว้อย่างโดดเด่นสำหรับพืชที่โตเต็มที่ ออกดอกเป็นช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง สีขาวอมเขียว บานตอนกลางคืน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสดมีเนื้อ รูปทรงกลมถึงรี สีเหลือง ส้ม หรือแดง เมล็ดสีขาวถึงน้ำตาล มี 1-3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้ในที่มีแสงแดดจัดหรือครึ่งวัน หรือในตำแหน่งที่มีแสงทางอ้อมที่สว่างและมีความชื้นปานกลาง ทนต่อระดับแสงน้อยในอาคารได้ ถ้าหากปลูกในที่ที่มีแสงแดดจัดใบจะสดใส มากกว่า ปลูกในดินร่วนผสมกับการระบายน้ำที่ดี ต้องการความชื้นปานกลางในช่วงฤดูปลูก อุณหภูมิที่เหมาะสม 21-26 องศา C ปลายใบจะเป็นสีน้ำตาลหากความชื้นต่ำเกินไป การรดน้ำ---ให้รอจนกว่าดินครึ่งบนจะแห้งก่อนที่จะรดน้ำ (โดยปกติอาจใช้เวลาสามสัปดาห์หรือมากกว่านั้น) หากพืชมีปลายใบสีน้ำตาลบนใบ นั่นเป็นสัญญาณว่าพืชได้รับน้ำมากเกินไปหรือน้ำที่ใช้มีเกลือหรือฟลูออไรด์มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนสีได้ หากพืชมีใบเหลือง แสดงว่าต้องการน้ำมากขึ้น ลดการให้น้ำในฤดูหนาวให้น้อยกว่าปกติ การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดแต่งเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตหรือลักษณะเป็นพุ่ม ให้ตัดแต่งกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ หากพืชเริ่มสูงเกินไป สามารถตัดแต่งให้กลับเป็นขนาดที่ต้องการได้ การใส่ปุ๋ย---ควรให้ปุ๋ยพืชที่ละลายน้ำได้สูตร 5-10-5 หรือ 20-20-20 ทุกๆ 6-8 สัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยที่ปล่อยช้า เช่นออสโมโค้ท 3 เดือนหรือ 6 เดือนปุ๋ยเหล่านี้จะปล่อยสารอาหารทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้ ศัตรูพืช/โรคพืช--- อ่อนแอต่อ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ Scales และไรเดอร์ (spider mites)ใช้น้ำมันสะเดากำจัด/เป็นพืชที่ทนทานโรคมาก โรคที่พบบ่อยคือโรครากเน่าซึ่งอาจเกิดจากการรดน้ำมากเกินไปหรือการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับภายนอก นิยมปลูกเป็นกลุ่ม หรือปลูกเดี่ยว ๆเป็นไม้ประธานในสวน ปลูกริมสระว่ายน้ำ หรือปลูกเพื่อพรางสายตาจากภายนอก ปลูกภายในบ้าน อาคาร สำนักงาน เป็นต้นไม้ที่ช่วยดูดสาร Benzene ที่มีอยู่ในน้ำมัน หมึก สีทาบ้าน ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ขยายพันธุ์--โดยการปักชำไม้กิ่งแข็งหรือลำต้นที่ไม่มีใบ หรือตอนกิ่ง
ไผ่ฟิลิปปินส์/Dracaena surculosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena surculosa Lindl.(1828) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Draco surculosa (Lindl.) Kuntze.(1891) ---Pleomele surculosa (Lindl.) N.E.Br.(1914) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/534384-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Spotted dracaena, Spotted leaf dragon tree, ชื่ออื่น---ไผ่ฟิลิปปินส์ ;[CHINESE: Ban dian ye qian nian mu.];[GERMAN: Buntgefleckte Drachenlilie.];[JAPANESE: Dorasena surukurosa, Hoshi-sennen-boku.];[PORTUGUESE: Dracaena-bambu.];[SPANISH: Dracaena manchada, Dracaena polvo dorado, Dracena punteada.];[SWEDISH: Buskdracena.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNGS (Preferred name: Dracaena surculosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อนของแอฟริกาตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลมาจากภาษากรีก "drakàina" = มังกรเพศเมีย ; ชื่อของสายพันธุ์มาจากภาษาละติน "surculosus" = กิ่งหรือกิ่งอ่อน Dracaena surculosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2371 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมือง แคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง กานา กินี ไอวอรี่โคสต์ ไลบีเรีย ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน โตโก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มลำต้นกลมเล็กสูง 1-4 เมตร เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียว เจริญเป็นกอ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่ กว้าง (2-6) x (6-20) ซม. ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ ใบอ่อนแตกตรงส่วนยอดของลำต้น ครั้งละ 2-3 ใบ พื้นใบสีเขียวเข้มมีรอยจุดด่างสีเขียวอ่อน ช่อดอกออกจากซอกใบ ช่อดอกยาว 7-8 ซม. มีดอกสีขาวขนาดเล็ก มีกลิ่นหอมในตอนกลางคืน ผลมีเนื้อกลมสึส้ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. เมล็ดสีขาวถึงน้ำตาลอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่จะได้รับแสงสว่างจ้า แต่ไม่ใช่ถูกแสงแดดโดยตรง ทนร่มเงาได้บางส่วนแต่สีใบจะไม่สวยเท่า ใบไม้จะเป็นสีน้ำตาลหรือร่วงหล่นหากแสงสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 16 - 26 ℃ ทนความเย็นได้น้อยกว่าและอาจเสียหายได้ถ้าอุณหภูมิ ต่ำกว่า 10 ℃ ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีและอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ หลีกเลี่ยงดินเหนียว pH ของดิน 6.0-6.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อดินแห้งประมาณข้อนิ้วแรก หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป รดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาวเมื่อพืชอยู่ในระยะพักตัว พืชมีความไวต่อฟลูออไรด์ในน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน ใบอาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลือง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้น้ำฝนที่รวบรวมมา หรืออาจเก็บน้ำประปาไว้ในภาชนะหนึ่งคืน และรดน้ำหลังจากฟลูออไรด์ลดลงแล้วก็ได้ การตัดแต่งกิ่ง---โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หากปลูกในที่ที่มีแสงน้อย ต้นไม้อาจสูงและม้วนเป็นเกลียวเมื่อไปถึงแสง หากเป็นกรณีนี้ สามารถริดออกประมาณ 1/3 ของลำต้นหลักได้ จะทำให้แตกหน่อใหม่ที่บริเวณรอยตัดและทำให้พืชเป็นพุ่มมากขึ้น กำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก เพื่อให้พืชแข็งแรงและปราศจากศัตรูพืช โดยทั่วไปการตัดแต่งกิ่งจะทำในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยพืชในร่มอเนกประสงค์ สามารถใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป หยุดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบเพลี้ยแป้งที่ราก สามารถทำลายต้นไม้ได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงทนทานสำหรับต้นไม้ที่ใช้ปลูกในร่ม อยู่ได้เป็นเวลานาน ปลูกเป็น house plant เป็นไม้กระถางตกแต่งภายในบ้านอาคารสำนักงาน หรือปลูกลงแปลงเป็นกลุ่มในที่แสงแดดรำไร -ใช้เป็นยา ในเซียร์ราลีโอนใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทางร่างกายในเด็ก ใช้ยาต้มใบอาบน้ำเด็กวันละสองครั้ง รู้จักอันตราย---เป็นพิษเล็กน้อยต่อสัตว์เลี้ยง ASPCA แสดง รายชื่อพืช ที่เป็นพิษต่อแมว และสุนัขไว้ในรายชื่อพืช Dracaena surculosa ประกอบด้วยซาโปนิน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้น้ำลายไหล อาเจียน อ่อนแอ ในสัตว์เลี้ยงเมื่อกินเข้าไป ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง/Dracaena surculosa Aurea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena surculosa 'Aurea' ชื่อพ้อง---Dracaena godseffiana 'Aurea' ชื่อสามัญ---Gold Dust Dracaena, Spotted dracaena 'Aurea', Gold dust dracaena 'Aurea', Pleomele surculosa 'Aurea', Draco surculosa 'Aurea', Japanese bamboo 'Aurea', Spotted-leaf dracaena 'Aurea' ชื่ออื่น---ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง ; [AFRIKAANS: Bou-kpa (Africa - Ivory Coast)., Pou-touè (Africa - Coast).];[CHINESE: Xing long xue shu.];[RUSSIA: Dratsena kustovidnaia.];[SIERRA LEONE: Wete.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNGS (Preferred name: Dracaena surculosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อนของแอฟริกาตะวันตก Dracaena surculosa 'Aurea' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Dracaena surculosa สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองในเขตป่าฝนแอฟริกาเขตร้อนตะวันตก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มลำต้นกลมเล็กสูงประมาณ12 ซม. ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีถึงรูปไข่ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ ใบอ่อนแตกตรงส่วนยอดของลำต้น ครั้งละ 2-3 ใบ แผ่นใบมีสีเขียวกับขาว และสีเขียวกับเหลืองกระจายทั่วใบ ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ผลมีเนื้อกลมสึส้ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1ซม. เมล็ดสีขาวถึงน้ำตาลอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่จะได้รับแสงสว่างจ้า แต่ไม่ใช่ถูกแสงแดดโดยตรง ทนร่มเงาได้บางส่วนแต่สีใบจะไม่สวยเท่า ใบไม้จะเป็นสีน้ำตาลหรือร่วงหล่นหากแสงสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 16 - 26 ℃ ทนความเย็นได้น้อยกว่าและอาจเสียหายได้ถ้าอุณหภูมิ ต่ำกว่า 10 ℃ ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีและอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ หลีกเลี่ยงดินเหนียว pH ของดิน 6.0-6.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อดินแห้งประมาณข้อนิ้วแรก หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป รดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาวเมื่อพืชอยู่ในระยะพักตัว พืชมีความไวต่อฟลูออไรด์ในน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน ใบอาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลือง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้น้ำฝนที่รวบรวมมา หรืออาจเก็บน้ำประปาไว้ในภาชนะหนึ่งคืน และรดน้ำหลังจากฟลูออไรด์ลดลงแล้วก็ได้ การตัดแต่งกิ่ง---โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หากปลูกในที่ที่มีแสงน้อย ต้นไม้อาจสูงและม้วนเป็นเกลียวเมื่อไปถึงแสง หากเป็นกรณีนี้ สามารถริดออกประมาณ 1/3 ของลำต้นหลักได้ จะทำให้แตกหน่อใหม่ที่บริเวณรอยตัดและทำให้พืชเป็นพุ่มมากขึ้น กำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก เพื่อให้พืชแข็งแรงและปราศจากศัตรูพืช โดยทั่วไปการตัดแต่งกิ่งจะทำในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยพืชในร่มอเนกประสงค์ สามารถใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป หยุดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบเพลี้ยแป้งที่ราก สามารถทำลายต้นไม้ได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นต้นไม้ที่แข็งแรงทนทานสำหรับต้นไม้ที่ใช้ปลูกในร่ม อยู่ได้เป็นเวลานาน ปลูกเป็น house plant เป็นไม้กระถางตกแต่งภายในบ้านอาคารสำนักงาน หรือปลูกลงแปลงเป็นกลุ่มในที่แสงแดดรำไร รู้จักอันตราย---เป็นพิษเล็กน้อยต่อสัตว์เลี้ยง ASPCA แสดงรายชื่อพืชที่เป็นพิษ ต่อแมวและสุนัขไว้ในรายชื่อพืช Dracaena surculosa ประกอบด้วยซาโปนิน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้น้ำลายไหล อาเจียน อ่อนแอ ในสัตว์เลี้ยงเมื่อกินเข้าไป ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง (ฟลอริดาบิวตี้)/Dracaena surculosa 'Florida Beauty'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena surculosa 'Florida Beauty' ชื่อพ้อง---Dracaena godseffiana 'Florida Beauty' ชื่อสามัญ---Gold Dust Dracaena ชื่ออื่น---ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง, ฟลอริดาบิวตี้ ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNGS (Preferred name: Dracaena surculosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อนของแอฟริกาตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Dracaena' มาจากภาษากรีก "drakàina" = มังกรเพศเมีย ; ชื่อของสายพันธุ์ 'surculosa' มาจากภาษาละติน "surculosus" = กิ่งหรือกิ่งอ่อน Dracaena surculosa 'Florida Beauty' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Dracaena surculosa สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองในเขตป่าฝนแอฟริกาเขตร้อนตะวันตก ลักษณะเป็นไม้พุ่มลำต้นกลมเล็กเจริญเป็นกอใหญ่กว่าไผ่ฟิลิปปินส์ต้นอื่นๆมีใบที่สวยงามมันวาวพื้นใบสีเขียวมีจุดแต้มสีเหลืองอ่อนหนาแน่นที่กึ่งกลางใบ ความแตกต่างจะปรากฏบนใบจุดที่เป็นสีเหลืองอ่อน เมื่อใบแก่ขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเมื่อพืชโตเต็มที่ ไม่เหมือนต้นไผ่ฟิลิปปินส์อื่น ๆที่การเปลี่ยนแปลงของจุดเกิจากความเข้มของแสง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงที่สว่าง (ได้รับแสงทางอ้อมมากกว่าหกชั่วโมง) การถูกแสงแดดโดยตรง ใบไม้จะเป็นสีน้ำตาลหรือร่วงหล่นหากแสงสูงหรือต่ำเกินไป หากแสงน้อยเกินไปอาจสูญเสียสีที่เข้มไป หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปและน้ำขังจะทำให้รากเน่า อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อดินแห้งประมาณข้อนิ้วแรก หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป รดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาวเมื่อพืชอยู่ในระยะพักตัว พืชมีความไวต่อฟลูออไรด์ในน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน ใบอาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลือง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้น้ำฝนที่รวบรวมมา หรืออาจเก็บน้ำประปาไว้ในภาชนะหนึ่งคืน และรดน้ำหลังจากฟลูออไรด์ลดลงแล้วก็ได้ การตัดแต่งกิ่ง---โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หากปลูกในที่ที่มีแสงน้อย ต้นไม้อาจสูงและม้วนเป็นเกลียวเมื่อไปถึงแสง หากเป็นกรณีนี้ สามารถริดออกประมาณ 1/3 ของลำต้นหลักได้ จะทำให้แตกหน่อใหม่ที่บริเวณรอยตัดและทำให้พืชเป็นพุ่มมากขึ้น กำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก เพื่อให้พืชแข็งแรงและปราศจากศัตรูพืช โดยทั่วไปการตัดแต่งกิ่งจะทำในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยพืชในร่มอเนกประสงค์ สามารถใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป หยุดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบเพลี้ยแป้งที่ราก สามารถทำลายต้นไม้ได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไผ่ฟิลิปปินส์ต้นที่คนนิยมปลูกในที่ร่มรำไร มากต้นหนึ่ง ขยายพันธุ์--- ปักชำ
ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง (ทางช้างเผือก)/Dracaena surculosa 'Friedmanii'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dracaena surculosa 'Friedmanii' ชื่อพ้อง---Dracaena surculosa 'Milky Way' ---Aloe godseffiana 'Milky Way' ---Aloe surculosa 'Friedmannii' ชื่อสามัญ---Milky Way ชื่ออื่น---ไผ่ฟิลิปปินส์ด่าง, ทางช้างเผือก ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---DRNGS (Preferred name: Dracaena surculosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อนของแอฟริกาตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Dracaena' มาจากภาษากรีก "drakàina" = มังกรเพศเมีย ; ชื่อของสายพันธุ์ 'surculosa' มาจากภาษาละติน "surculosus" = กิ่งหรือกิ่งอ่อน Dracaena surculosa 'Friedmanii' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Dracaena surculosa สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองในเขตป่าฝนแอฟริกาเขตร้อนตะวันตก ลักษณะ เป็นสายพันธุ์ปกติมีจุดสีครีมหนาบนใบรูปแบบ 'ทางช้างเผือก' มีสีขาวหนากระเซ็นลงตรงกลางใบ ด้านริมใบเป็นสีเขียวและมีจุดแต้มเล็กๆสีเหลืองกระจายอยู่ทั่ว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงที่สว่าง (ได้รับแสงทางอ้อมมากกว่าหกชั่วโมง) การถูกแสงแดดโดยตรง ใบไม้จะเป็นสีน้ำตาลหรือร่วงหล่นหากแสงสูงหรือต่ำเกินไป หากแสงน้อยเกินไปอาจสูญเสียสีที่เข้มไป หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปและน้ำขังจะทำให้รากเน่า อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อดินแห้งประมาณข้อนิ้วแรก หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป รดน้ำให้น้อยลงในฤดูหนาวเมื่อพืชอยู่ในระยะพักตัว พืชมีความไวต่อฟลูออไรด์ในน้ำประปา เมื่อใช้น้ำประปาเป็นเวลานาน ใบอาจมีจุดดำหรือขอบสีเหลือง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้น้ำฝนที่รวบรวมมา หรืออาจเก็บน้ำประปาไว้ในภาชนะหนึ่งคืน และรดน้ำหลังจากฟลูออไรด์ลดลงแล้วก็ได้ การตัดแต่งกิ่ง---โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง หากปลูกในที่ที่มีแสงน้อย ต้นไม้อาจสูงและม้วนเป็นเกลียวเมื่อไปถึงแสง หากเป็นกรณีนี้ สามารถริดออกประมาณ 1/3 ของลำต้นหลักได้ จะทำให้แตกหน่อใหม่ที่บริเวณรอยตัดและทำให้พืชเป็นพุ่มมากขึ้น กำจัดใบที่เสียหายหรือตายออก เพื่อให้พืชแข็งแรงและปราศจากศัตรูพืช โดยทั่วไปการตัดแต่งกิ่งจะทำในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยพืชในร่มอเนกประสงค์ สามารถใช้ปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ทั่วไป หยุดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูพืชที่พบเพลี้ยแป้งที่ราก สามารถทำลายต้นไม้ได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไผ่ฟิลิปปินส์ต้นที่คนนิยมปลูกในที่ร่มรำไร มากต้นหนึ่ง ขยายพันธุ์---ปักชำ
|
จั๋งเชียงใหม่/Rhapis humilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhapis humilis Blume.(1839) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Basionym: Chamaerops excelsa var. humilior Thunb.(1784) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-177964 ชื่อสามัญ---Slender Lady Palm, Reed Rhapis, Fan palm, Rattan palm ชื่ออื่น---จั๋งเชียงใหม่, จั๋งจีน ;[CHINESE: Ai zōng zhú.];[DUTCH: Dwergbamboepalm.];[FRENCH: Palmier bambou, Rhapide nain.];[GERMAN: Niedere Steckenpalme.];[JAPANESE: Shuro-chiku, Shurochiku.];[PORTUGUESE: Palmeira-ráfia, Rapis.];[SPANISH: Palmerita china.];[SWEDISH: Liten buskpalm.];[VIETNAM: Mật cật nhỏ, Lụi nhỏ.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---RPJHU (Preferred name: Rhapis humilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย ไทย จีน เขตกระจายพันธุ์---ภาคเหนือของไทย ตอนใต้และตะวันออกของจีน ญี่ปุ่น ชวา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลเป็นคำภาษากรีก 'Rhapis' = เข็มแท่งเล็กอ้างอิงถึงลำต้นบาง ๆ ; ชื่อสายพันธุ์ 'humilis' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'humilis,e' = low โดยอ้างอิงถึงท่าทางที่ควรจะเป็นของพืช ซึ่งความจริงแล้วเป็นพันธุ์ที่สูงที่สุด Rhapis humilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในสกุลArecales พืชใบเลี้ยงเดี่ยวครอบครัววงศ์ Arecaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2382 ที่อยู่อาศัย การกระจายเฉพาะถิ่นไปยังจีนตอนใต้ ; เติบโตเฉพาะในมณฑลกวางสีและกุ้ยโจว เติบโตบนเนินเขาที่แห้งแล้งในตำแหน่งที่ต่ำกว่าโดยเพิ่มขึ้นถึงระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตรเท่านั้น ส่วนในฐานะที่เป็นไม้ประดับมีการปลูกในประเทศอื่น ๆ เปิดตัวในญี่ปุ่น (S.Kyushu), ในอินโดนีเซีย (ชวา) ต้นกำเนิดสุดท้ายของสายพันธุ์นี้ไม่เป็นที่รู้จักและไม่มีประชากร 'พื้นเมือง' ที่รู้จักในป่า" (เจฟฟ์ สไตน์) ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอที่แตกต่างและสวยงามซึ่งแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ ในสกุลนี้ เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสายพันธุ์ที่สูงที่สุดในสกุล ความสูงได้ถึง 5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.5-2.5 ซม.ลำต้นปกคลุมด้วยใบถาวร เปลือกหุ้มเป็นแผ่นใยละเอียด สีน้ำตาลเข้มหรือดำคลุมอยู่หนาแน่น ใบรูปพัด(palmate) เรียงสลับ ขอบใบหยัก เว้าถึงสะดือ ใบกว้างประมาณ 40 ซม. มีใบย่อย 10-20 ใบ ใบย่อยเรียวยาว กว้างประมาณ 2 ซม.ยาว 15-18 ซม. แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกรวมกันที่ฐาน ผลมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ฃอบแสงกึ่งร่มรำไร (เติบโตภายใต้ร่มเงา 52% ตลอดทั้งปี) ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดินหากมีการระบายน้ำดี ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ ไม่ชอบที่แห้ง ปลายใบสีน้ำตาลอาจเกิดจากการขาดน้ำ น้ำเค็ม หรือปุ๋ยมากเกินไป หรือความร้อนสูง สามารถทนอุณหภูมิได้ถึง -6 ° C เป็นระยะเวลาสั้น ๆ การรดน้ำ---สำหรับต้นไม้ภายใน ในที่มีแสงน้อยถึงปานกลาง ให้รดน้ำปาล์ม เมื่อดินปลูกแห้งประมาณครึ่งหนึ่งถึงสามในสี่ของความลึกของวัสดุปลูก ในตำแหน่งที่มีแสงจ้า ให้รดน้ำเมื่อวัสดุปลูกแห้งลงประมาณ 1/2 ของความลึกทั้งหมด การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง ตัดลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้ปุ๋ยมากเกินไป เนื่องจาก Rhapis ทั้งหมดสามารถถูกเผาไหม้จากโปรแกรมปุ๋ยมากเกินไปหรือแรงเกินไป ควรให้ปุ๋ยเพียง1ครั้ง/ปีในฤดูใบไม้ผลิก็เพียงพอโดยใช้ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ปล่อยอย่างช้าๆ ศัตรูพืช/โรคพืช---Red palm mite (ไรแดงปาล์ม) มีลักษณะเป็นแถบสีน้ำตาลแดงบนใบ จุดสีเหลืองจะปรากฏขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งและอาจกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นใบ การระบาดอย่างหนักอาจทำให้ใบทั้งหมดเป็นสีเหลืองและตายได้ ควรตัดและกำจัดส่วนที่ได้รับผลกระทบ สามารถใช้ สบู่ฆ่าแมลงและน้ำมันพืชสวนได้ แต่ต้องใช้กับตัวไรโดยตรง, เพลี้ยแป้ง, แมลงหวี่ขาว ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สามารถปลูกเป็นกลุ่มหรือปลูกเป็นแนวรั้วป้องกันความเสี่ยง หรือปลูกลงในภาชนะขนาดใหญ่ในลานบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการตกแต่งสถานที่ภายใน ระยะออกดอก--- ในช่วงปลายฤดูหนาวจะมีดอกสีขาวขนาดเล็กมากที่ไม่เด่นสะดุดตา การขยายพันธุ์---ใช้วิธีแยกหน่อ หรือแยกกอไปปลูกเพราะไม่ค่อยติดเมล็ด
จั๋งลาว/Rhapis laosensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhapis laosensis Becc.(1910) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Rhapis cochinchinensis (Lour.) Mart.(1838) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-177967 ชื่อสามัญ---Thailand lady palm ชื่ออื่น---จั๋งลาว, จั๋ง ; ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---RPJSS (Preferred name: Rhapis sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย ไทย จีน เขตกระจายพันธุ์---ไทย จีน ลาว เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลเป็นคำภาษากรีก 'Rhapis'=เข็มแท่งเล็กอ้างอิงถึงลำต้นบาง; ชื่อสายพันธุ์ 'laosensis' = มาจากประเทศลาว Rhapis laosensis ชื่อนี้เป็นคำพ้องความหมายของ Rhapis cochinchinensis สายพันธุ์ของพืชดอกในสกุลArecales พืชใบเลี้ยงเดี่ยวครอบครัววงศ์ Arecaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2453 Includes 2 Accepted Infraspecifics. ---Rhapis laosensis subsp. laosensis ---Rhapis laosensis subsp. macrantha (Gagnep.) A.J.Hend.(2016) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669585-1#children ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภาคเหนือของไทย ตอนใต้และตะวันออกของจีน เพาะปลูกในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ลักษณะ เป็นปาล์มแตกกอสูงประมาณ 1 เมตร มีลำต้นเรียวหลายใบหุ้มด้วยกาบใบที่มีเส้นใยละเอียด ใบรูปพัด(palmate) เรียงสลับ ขอบใบหยัก เว้าถึงสะดือ มีใบย่อยแตกออกจากกันเป็นแฉกลึก 3-10 ใบ ใบย่อยกว้างประมาณ 6 ซม.ยาว 25 ซม. ก้านใบมีความยาวสูงสุด 35 ซม.แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ช่อดอกออกมาจากภายในใบและแตกแขนงอย่างประณีต เป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ แบบแยกต้น ดอกเพศเมียจะมีผลติด เป็นพวงสั้นๆ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ฃอบแสงกึ่งร่มรำไร (เติบโตภายใต้ร่มเงา 52% ตลอดทั้งปี) ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดินหากมีการระบายน้ำดี ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ความชื้นสม่ำเสมอ ไม่ชอบที่แห้ง ปลายใบสีน้ำตาลอาจเกิดจากการขาดน้ำ น้ำเค็ม หรือปุ๋ยมากเกินไป หรือความร้อนสูง สามารถทนอุณหภูมิได้ถึง -6 ° C เป็นระยะเวลาสั้น ๆ การรดน้ำ---สำหรับต้นไม้ภายใน ในที่มีแสงน้อยถึงปานกลาง ให้รดน้ำปาล์ม เมื่อดินปลูกแห้งประมาณครึ่งหนึ่งถึงสามในสี่ของความลึกของวัสดุปลูก ในตำแหน่งที่มีแสงจ้า ให้รดน้ำเมื่อวัสดุปลูกแห้งลงประมาณ 1/2 ของความลึกทั้งหมด การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง ตัดลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้ปุ๋ยมากเกินไป เนื่องจาก Rhapis ทั้งหมดสามารถถูกเผาไหม้จากโปรแกรมปุ๋ยมากเกินไปหรือแรงเกินไป ควรให้ปุ๋ยเพียง1ครั้ง/ปีในฤดูใบไม้ผลิก็เพียงพอโดยใช้ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยที่ปล่อยอย่างช้าๆ ว---Red palm mite (ไรแดงปาล์ม) มีลักษณะเป็นแถบสีน้ำตาลแดงบนใบ จุดสีเหลืองจะปรากฏขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งและอาจกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นใบ การระบาดอย่างหนักอาจทำให้ใบทั้งหมดเป็นสีเหลืองและตายได้ ควรตัดและกำจัดส่วนที่ได้รับผลกระทบ สามารถใช้ สบู่ฆ่าแมลงและน้ำมันพืชสวนได้ แต่ต้องใช้กับตัวไรโดยตรง, เพลี้ยแป้ง, แมลงหวี่ขาว ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกประดับภายในอาคารหรือกลางแจ้ง ระยะออกดอก---ช่วงปลายฤดูหนาว การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ
|
ไทรใบซอ, ไทรใบสัก/Ficus lyrata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ficus lyrata Warb.(1894) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Ficus pandurata Sander (1903) [Illegitimate] ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2811182 ชื่อสามัญ---Fiddle-leaf Fig, Fiddle-leaf, Banjo Fig, Lyre-leaved fig tree. ชื่ออื่น---ไทรใบซอ, ไทรใบสัก, ยางใบซอ, ยางใบหูกวาง ;[CUBA: Hoja de violin.];[DOMINICAN: Higo, Honjancha.];[FRENCH: Figuier a feuilles lyrees, Figuier lyre, Ficus a feuilles de violin.];[GERMAN: Geigen-Feige, Geigenblättriger Feigenbaum.];[JAPANESE: Kashiwa bacomu, Kashiwaba-gomunoki.];[PORTUGUESE: Ficus-lira, Figo-da-China, Figueira-lira, Figueira-lirata, Figueira-violino.];[PUERTO RICO: jagüey lirado.];[SPANISH: Arbol lira, Arbol lirado, Espartaco, Ficus de hoja de violín, Higuera de hojas de violin.];[SWEDISH: Fiolfikus.];[THAI: Sei bai sak, Sei bai saw, Yang bai saw, Yang bai hu kwang,] ชื่อวงศ์---MORACEAE EPPO Code---FIULY (Preferred name: Ficus lyrata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตอนกลาง และแถบฝั่งตะวันตกของแอฟริกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลFicus เป็นภาษาละตินที่ใช้สำหรับมะเดื่อทั่วไป ; ชื่อพันธุ์ 'lyrata' มาจากคำภาษาละติน 'lyratus' 'lyra' = lyre ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายโดยอ้างอิงถึงรูปร่างของใบไม้ Ficus lyrata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกวงศ์มะเดื่อ (Moraceae) สกุลไทร (Ficus) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Otto Warburg (1859–1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2437
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองไปยังแอฟริกาตะวันตกจากประเทศแคเมอรูนตะวันตกไปเซียร์ราลีโอน เติบโตในที่ราบลุ่มและป่าดิบชื้นที่มีความชื้นสูง ที่ระดับความสูง 100 - 1,500 เมตร ได้รับการแนะนำ (เพาะปลูก) กันอย่างแพร่หลายทั้งกลางแจ้งและในร่มทั่วโลกรวมถึงหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ลักษณะ สายพันธุ์นี้อาจเริ่มมีชีวิตเป็นอาจเริ่มต้นชีวิตเป็นพืชอิงอาศัย (epiphyte) ในที่สุดจะพัฒนารากอากาศและเติบโตเป็นต้นไทรขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ที่มีความสูงได้ถึง 12 เมตร และขยายพุ่มได้กว้างถึง 10.5 เมตร ทุกส่วนของพืชมียางสีขาว ลำต้นเป็นข้อถี่ ลักษณะของใบ ใหญ่แข็งแรงหนาเป็นมัน ยาว 12-45 ซม.กว้าง10-25ซม.ใบรูปไข่กลับหรือรูปพิณ มีร่องลึกตามแนวเส้นใบย่อย ปลายใบมนขอบใบเป็นคลื่น ก้านใบเป็นร่องยาว 3-5 ซม. หูใบยาว 4 ซม.ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ออกเป็นคู่ ผลสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 2.5-3 ซม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถเจริญเติบโตได้ในช่วงแดดจัด แสงแดดบางส่วน หรือในที่ร่มบางส่วนหรือแสงสว่างจ้าทางอ้อม ชอบดินร่วนซุยชุ่มชื้นสม่ำเสมอตลอดเวลา มีความทนทานต่อความแห้งแล้งสูง มีความทนทานต่อละอองเกลือปานกลาง และสามารถทนต่อดินได้หลายประเภท เช่น ดินทราย ดินเหนียว ดินร่วน ดินด่าง และดินที่มีสภาพเป็นกรดเป็นเวลานาน หากมีการระบายน้ำและการไหลเวียนของอากาศที่ดี pH ของดินอยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 7.0 อุณหภูมิที่เหมาะสม 18°C-24°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดถึง 10 °C การรดน้ำ---ให้น้ำประมาณ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ อย่าให้น้ำมากเกินไปหรือทิ้งต้นไม้แช่ไว้ในน้ำ ลดการให้น้ำในฤดหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นโตเต็มที่ จำกัดรูปทรงและความสูง ตัดแต่งตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ด้วยสารละลายพืชสีเขียวที่เจือจางในช่วงฤดูปลูก งดการให้ปุ๋ยในฤดหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---อาจพบแมลงทั่วไปที่มักรบกวนพืชในร่ม เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids), เพลี้ยแป้ง (mealybugs), Scales, ไรเดอร์ (spider mites) และแมลงหวี่ขาว (whiteflies) Ficus มีชื่อเสียงในเรื่องความไวต่อสารเคมี ในกรณีที่มีศัตรูพืชให้ใช้ยาฆ่าแมลงที่มีฤทธิ์ทางเคมีน้อยที่สุดหรือใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ในพื้นที่เขตร้อนปลูกเป็นไม้ประดับและเป็นต้นไม้ให้ร่มเงา ในฐานะที่เป็น houseplant ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับใส่กระถางกลางแจ้งแดดไม่จัดหรือปลูกประดับในอาคารเป็นไม้ตกแต่งภายในได้ดี ความสูงที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ คือ1-3 เมตร มักใช้ในสวนสไตล์โมเดิร์นกันมากอยู่ ในขณะนี้ ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
หมากผู้หมากเมีย/Codyline fruiticosa
Picture: https://floristics.info/ru/foto-rasteniy/1240-foto-cordyline.html ชื่อวิทยาศาสตร์---Cordyline fruticosa (L.) A.Chev.(1919) ชื่อพ้อง---Has 253 Synonyms ---Basionym: Convallaria fruticosa L.(1764) ---Asparagus terminalis L. (1762) ---Cordyline terminalis Kunth.(1844) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:533580-1 ชื่อสามัญ---Baby Doll Ti Plant, Common dracaena, Cordyline, Good luck plant, Palm lily, Ti-palm, Tree of kings ชื่ออื่น--หมากผู้หมากเมีย ;[CHINESE: Ya zhu na, Zhu jiao.];[COLOMBIA: Palmita roja.];[DUTCH: Limiestriuk.];[FIJIAN: Vasili, Qai, Ti, Masawe, Kokotodamu.];[FRENCH: Cordyline a fleurs terminales; Dragonnier de Chine.];[GERMAN: Endstandige Keulenlilie, Endstandige kolbenlile, Strauchige Keulenlilie.];[HAWAIIAN: Ti, Ki, Lau'i.];[INDONESIA: Bak juang, Lak-lak, Linjuang, Anderuang, Sabang, Andong, Weluga, Wersingin, Weusisi.];[IVORY COAST: Essul ahrana.];[JAPANESE: Sennenboku.];[MALAYSIA: Andong, Juang, Jenjuang, Senjuang.];[NEW ZEALAND: Ti pore.];[PAPAUA NEW GUINEA: Aegop, Masau, Kava, Bauga, Elavi, Ta'un, Ariko.];[PHILIPPINES: Tungkod-pare, Tungkod-obispo, Sagilala (Tag.); Kilala (Bik.); Tokorpari (Pamp.).];[PORTUGUESE: Arvore-dos-reis, Croton.];[RUSSIAN: Dratsena verkhushechnaia.];[SPANISH: Caña de india, Croto, Palmita roja, Vara de San José.];[TAHITI: Auti.];[THAI: Maak phuu-Maak mia, Ma poo ma mia.];[TONGA: Si si tongotongo.];[UK: Good luck plant, Tree of kings.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---CDLFR (Preferred name: Codyline fruiticosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Codyline' มาจากภาษากรีก 'kordyle' = cudgel, club โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของรากที่เป็นเหง้า ; ชื่อสายพันธุ์ 'fruiticosa' เป็นภาษาละติน 'fruticosa' = อุดมไปด้วยตาหมายถึงลักษณะของ Cespitose (เกิดจากต้นตอต้นเดียวหรือจากต้นตอหรือรากที่พันกันจำนวนมาก) Codyline fruiticosa เป็นสายพันธุ์ของพืชออกดอกในครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Auguste Jean Baptiste Chevalier(1873–1956) เป็นนักพฤกษศาสตร์, นักอนุกรมวิธาน ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2462 ปัจจุบันนักพฤกษศาสตร์ย้ายพืชสกุลนี้จากวงศ์ Agavaceae มาอยู่ในวงศ์ Asparagaceae
ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคตะวันตกของ มหาสมุทรแปซิฟิก จาก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฟรนช์โปลินีเซีย และอเมริกาใต้ เติบโตบนสันเขาในป่าทึบและบางครั้งก็ใกล้ชายหาด (พื้นที่ชุ่มน้ำ) ที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นมีลำต้นกลมเป็นลำเดี่ยวหรือกอเมื่อโตเต็มที่จะมีเนื้อไม้เติบโตได้สูงถึง 3 ถึง 4 เมตร ใบมีหลายลักษณะและสีสันจะแตกต่างออกไป ดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอดเป็นช่อกระจุก ยาว 30-38 ซม.โค้งและแตกแขนง มีดอกย่อยสีขาวครีมหรือขาวอมแดงเรื่อจำนวนมาก ผลิบานตอนกลางคืนและมีกลิ่นหอม ในพืชป่าผลไม้เกิดขึ้นน้อยมาก เป็นผลเบอร์รี่กลมสีเหลืองเมื่อสุกสีแดงสด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 มม.เมล็ดมีน้อย สีดำเป็นมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดจัด (แสงแดดส่องถึงโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) แสงแดดรำไรถึงครึ่งวัน (ปลูกกลางแดดจัดมากใบและปลายใบมักไหม้ใบจะเสีย) อุณหภูมิเฉลี่ย ตั้งแต่ 18-27°C ชอบดินอุดมสมบูรณ์ดินมีความชื้นสม่ำเสมอระบายน้ำได้ดี ไวต่อฟลูออไรด์ในน้ำประปาปกติ และอย่าปลูกในดินปลูกที่มีปุ๋ย superphosphate หรือ perlite การรดน้ำ---ปล่อยให้ด้านบนของดินแห้งเล็กน้อยก่อนรดน้ำและอย่าให้น้ำขัง ลดการรดน้ำในฤดูหนาว ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้น้ำฝนหรือน้ำกรองเพื่อหลีกเลี่ยงปลายใบสีน้ำตาล ระวังอย่าให้ดินแฉะ เพราะอาจทำให้ต้นเน่าตาย การตัดแต่งกิ่ง-ปลูกง่ายเลี้ยงง่ายมักโตเร็วจนกิ่งก้านยืดยาวควรหมั่นตัดแต่งกิ่งที่เก้งก้างออกบ้างกิ่งที่ตัดนำไปปักชำไม่กี่วันรากก็งอก การใส่ปุ๋ย---ใช้สารละลายปุ๋ยน้ำอ่อน ๆ เดือนละครั้งหรือสองครั้งในช่วงฤดูปลูก หรือใส่ปุ๋ยสูตรเสมอทุก 3 เดือน จะช่วยให้ต้นเติบโตงามดี งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความอ่อนไหวต่อแมลงทั่วไปที่มักรบกวนพืชในร่ม เช่น เพลี้ยอ่อน (aphids), เพลี้ยแป้ง (mealybugs), Scales, ไรเดอร์ (spider mites) และแมลงหวี่ขาว (whiteflies)ในกรณีที่มีศัตรูพืชให้ใช้ยาฆ่าแมลงที่มีฤทธิ์ทางเคมีหรือใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบ Fusarium, ลำต้นและรากเน่า, ใบจุด Phyllosticta และใบจุด Phytophthora เป็นโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่พืชสามารถติดเชื้อได้ ได้แก่ใบไม้เปียกลื่น และรากสีดำ หากต้นใดต้นหนึ่งเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ทิ้งมันไปเพราะไม่สามารถรักษามันได้มากนัก ; หากพืชมีจุดสีแทน สีน้ำตาลแดงหรือขอบสีม่วงหรือจุดที่มีรัศมีสีเหลืองบนใบหรือลำต้น แสดงว่าอาจเป็นโรคใบจุดจากเชื้อรา เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรค ใช้ยากำจัดเชื้อราอาจป้องกันได้ ตรวจสอบพืชอย่างรอบคอบก่อนเพื่อหาอาการของโรคว่าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเกิดจากเชื้อรา แล้วรักษาตามอาการ ใช้ประโยชน์---คนในท้องถิ่นนิยมใช้พืชชนิดนี้เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อนเป็นไม้ประดับมีหลายชื่อพันธุ์ -ใช้กิน รากมีน้ำตาลในสัดส่วนสูง เมื่อนำไปอบจะมีรสชาติไม่ต่างจากกากน้ำตาลและรับประทานแบบนี้หรือใช้เป็นสารให้ความหวานในพุดดิ้งและอาหารอื่น ๆ รากถูกอบนานถึงสี่วันในเตาอบดินเพื่อใช้เป็นอาหารขนมหรือเครื่องดื่ม หัวมันมีน้ำหนักได้ 4.5 - 6.5 กิโล เครื่องดื่มหมักทำจากรากหวาน -ใช้เป็นยา การแช่ใบใช้เป็นยารักษาอาการบวมอักเสบ น้ำใบใช้รักษาหวัดและไอ ปวดท้อง และโรคกระเพาะ ใช้ภายนอก-น้ำคั้นใบใช้รักษาอาการปวดหูและตาติดเชื้อ ของเหลวจากลำต้นใช้รักษาอาการป่วยหลังคลอดบุตรและยังช่วยขับลมหลังคลอด รากใช้รักษาอาการอักเสบ ศีรษะล้าน ปวดฟันและกล่องเสียงอักเสบ ชิ้นส่วนของรากที่แช่ในน้ำส้มสายชูใช้เพื่อเตรียมการป้องกันการตกเลือด -ใช้ปลูกประดับ หมากผู้หมากเมียเป็นไม้ประดับที่มีสีสดใสสวยงามจึงเป็นไม้ประดับครองใจนานจน ถึงปัจจุบัน ความเชื่อ/พิธีกรรม---คนไทยเรียกหมากผู้หมากเมีย ทางการค้ามักเรียกว่า Red Dracaena แต่ชาวฮาวายเรียก ทิ ( Ti Plant) เพื่อยกย่องว่าเป็นไม้พระราชา หรือใบไม้นำโชคของชาวฮาวาย (Lucky Plant) บางทีก็นำมาใช้ประดับทำเป็นผ้านุ่งสำหรับเต้น ฮูลาฮูล่า หรือใช้ในพิธีต่างๆจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติฮาวาย -ส่วนชาวเชียงใหม่ เรียกว่า ปูหมาก (หมากปู้) ซึ่งทั้งชาวเหนือและชาวอีสานจะใช้ใบปูหมากห่อหุ้มดอกไม้ที่ใช้กราบไหว้บูชา ในประเพณีต่างๆมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน -อื่น ๆพืชกรองสารพิษในอากาศ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ เบนซิน และไตรคลอโรเอทิลีนจากชั้นบรรยากาศ และเป็นส่วนหนึ่งของ คอลเลคชันพืชฟอกอากาศ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำลำต้น
|
ขิงแดง/Alpinia purpurata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alpinia purpurata (Vieill) K.schum (1904) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Basionym: Guillainia purpurata Vieill.(1866) ---Alpinia grandis K.Schum.(1898) ---Languas purpurata (Vieill.) Kaneh.(1933) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/795383-1#synonyms ชื่อสามัญ---Red Ginger, Ginger lily, Jungle king, Ostrich plume, Pink cone ginger. ชื่ออื่น----ขิงแดง ;[AFRIKAANS: Rooigemmer.];[CHINESE: Hong guo shan jiang.];[CUBA: Alpinia.];[FIJI: Thevunga.];[FRENCH: Lavande rouge; Opuhi uteute (French Polynesia).];[GERMAN: Scharlachrote Alpinie.];[HAWAII: Awapuhi ‘ula‘ula.];[JAPANESE: Reddojinjā.];[MALAYSIA: Halia bara (Bahasa Melayu).];[MAORI (Cook Islands): Kāopi kura, Kāopi muramura, Kaopui kutekute.];[PHILIPPINES: Luyang pula (Tag.).];[PORTUGUESE: Gengibre-púrpura, Panamá.];[SAMOA: Teuila, Teuila mćmć.];[SPANISH: Ginger rojo, Jenjibre cimarrón, Jenjibre rojo.];[SWEDISH: Röd galangarot.];[TAHITI: Opuhi uteute.];[THAI: Khing daeng.];[TONGA: Teuila, Teuila pāpālangi, Tevunga.];[VIETNAM: Riềngtía.];[YAPESE: Telan.] ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE EPPO Code---AIIPU (Preferred name: Alpinia purpurata.) ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---โมลุกกะ นิวแคลิโดเนีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Alpinia' เป็นเกียรติแก่แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี Prospero Alpini (1553-1617) ; ชื่อเฉพาะสายพันธู์ จากภาษาละติน 'purpurata' = แต่งกายด้วยสีม่วงหมายถึงสีของช่อดอก Alpinia purpurata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eugène Vieillard (1819-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ศัลยแพทย์ทหารเรือ และนักธรรมชาติวิทยา ที่รวบรวมในนิวแคลิโดเนียและตาฮิติ ผู้อำนวยการ Jardin Botanique de Caen และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2447 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน Malesia (ปาปัวนิวกินี) และแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ (นิวแคลิโดเนียหมู่เกาะโซโลมอนและวานูอาตู) มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนเพื่อเป็นไม้ประดับ พบ ในฮาวาย, ตรินิแดด, เกรเนดา, เซนต์ลูเซีย, ปานามา, โดมินิกา, เซนต์วินเซนต์, มาร์ตินีก, จาเมกา, เปอร์โตริโก, ซูรินาเม และอีกหลายประเทศในอเมริกากลางรวมทั้งในเอเซียจาก ศรีลังกาถึงจีน ญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย (นิวเซาท์เวลส์) และถือเป็น รุกรานในหมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่งรวมทั้งฟิจิและฮาวาย เติบโตในป่าชื้นที่ถูกรบกวน สวนเก่าริมทาง ตลอดจนลำธาร ที่ระดับความสูง 0-1500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้แตกกอพุ่มแน่น ยืนต้นล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.70-1.5 เมตร มีลำต้นใต้ดินแบบไรโซมหรือเหง้า และมีกลิ่นเฉพาะซึ่งเกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่เป็นต่อมน้ำมันอยู่ายในเซลล์ ใบเป็นเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียวรูปขอบขนาน ยาว 30-70 (-80) ซม.กว้าง 10-22 ซม. ผิวใบด้านบนเกลี้ยงสีเขียวเป็นมัน ช่อดอกเป็นช่อเชิงลดรูปทรงกระบอกยาว 15-30 ซม.แต่ละช่อมีใบประดับเรียงซ้อนกัน กาบหลักมักเป็นสีแดง (เป็นสีชมพูเป็นครั้งคราวในรูปแบบที่ปลูก) ดอกออกจากซอกกาบรองดอกมีขนาดเล็กสีขาว 1 หรือ 2 อัน ผลเป็นแคปซูลเกือบกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม. เมล็ดสีดำมันยาวประมาณ 3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีร่มเงาบางส่วน แต่ยังปรับให้เข้ากับพื้นที่ที่มีร่มเงาทั้งหมดเช่นเดียวกับในพื้นที่เปิดโล่งที่มีแสงแดดส่องถึงเต็มที่ครึ่งวันเช้า ไวต่อการถูกแดดเผาหากได้รับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานเกินไป ต้องการดินอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ค่า pH 6.0-6.8 ทนอุณหภูมิใกล้ศูนย์ในช่วงเวลาสั้นๆ การรดน้ำ---รดน้ำบ่อย ๆ ด้วยน้ำที่ไม่เป็นด่าง พอที่จะทำให้ดินชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแห้งสนิทและจะได้รับผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการจัดการให้น้ำที่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง กำจัดดอกไม้ที่ตายแล้วออกจากฐาน ตัดใบที่เป็นโรคหรือใบที่แห้งตายทิ้ง ตัดลำต้นแก่ในกอที่หนาแน่นเกินไปในช่วงฤดูร้อน หรือขุดเหง้าบางส่วนมาปลูกใหม่ในที่ของตนเองหรือแบ่งปันให้เพื่อนฝูง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์ทางใบฉีดพ่นทุก 7-15 วัน/ครั้ง ใส่ปุ๋ยหมักเดือนละครั้งเพื่อสร้างความแข็งแรง และส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี หากปลูกในกระถางต้องใส่ปุ๋ยทุกเดือนด้วยปุ๋ยน้ำหรือใช้ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชวงศ์ ขิง ข่า เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง หนอนม้วนใบ หนอนเจาะยอดและลำต้น หนอนด้วงทำลายแง่งขิง ทาก สามารถควบคุมศัตรูพืชด้วยน้ำมันพืช เช่นน้ำมันสะเดา /โรคเหี่ยวของขิงที่เกิดจากแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ควบคุมและป้องกันโรคโดยใช้ยูเรียและปูนขาว ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น ปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นไม้ประดับในเขตร้อนไม้ดอกมักใช้ในอุตสาหกรรมไม้ตัดดอก -ใช้เป็นยา ยาต้มใบใช้ในการรักษาอาการปวดท้อง ผลไม้ใช้รักษาแผล -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่สำคัญที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่เขตร้อน สามารถปลูกเป็นไม้กระถางและใช้เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานยาวนานและคงอยู่บนต้นได้นานถึง 3 สัปดาห์ ที่นิยมปลูกมี 2 พันธุ์ คือพันธุ์สีแดง (Jungle king) และพันธุ์สีชมพู (Jungle queen) พิธีกรรม/ความเขื่อ---เป็นสัญลักษณ์ของ ความรัก เงินทอง ความสำเร็จ ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน ขยายพันธุ์---เมล็ดและการแบ่งเหง้า
ข่าด่าง/Alpinia zerumbet 'variegata'
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Alpinia zerumbet 'variegata' ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ ---Variegated Shell Ginger, Shell Ginger, Indian Shell Flower, Pink Porcelain Lily, Butterfly Ginger, Variegated Ginger ชื่ออื่น---พญามือเหล็ก ขิงด่าง ;[CHINESE: Yàn shān jiāng, Yue tao.];[FRENCH: Grand dégonflé.];[GERMAN: Nickende Alpinie.];[JAPANESE: Gettō, Sannin.];[PORTUGUESE: Flor-concha.];[SPANISH: Lirio de Colón.];[THAI: Phaya mue lhek, Khing dang.] ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE EPPO Code---AIIZE (Preferred name: Alpinia zerumbet.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออก อินเดีย อินโดจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Alpinia' เป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี Prospero Alpino (1553-1616) ; ชื่อที่แนะนำ 'Variegata' เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงลักษณะของใบไม้ที่แตกต่างกัน Alpinia zerumbet 'variegata' เป็นความหลากหลาย ของ Alpinia zerumbet สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียและอินโดจีนและได้รับการปลูกฝังมานานในดินแดนเขตร้อนของเอเชียตะวันออก ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นเทียมสูงได้ถึง 2.5-3 เมตร ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้าทอดเลื้อย ใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว สีเขียวมีลายด่างขาวเหลืองตามแนวเส้นใบ ช่อดอกออกที่ปลายลำต้นเทียมใบประดับสีเขียวอ่อน ดอกไม้รูปกรวยคล้ายขี้ผึ้งมีสีขาวมุกแต่งแต้มด้วยสีชมพูอ่อนที่ด้านนอก แต่ด้านในมีสีเหลืองสดใสและมีเครื่องหมายสีแดง เป็นลักษณะของดอกไม้ที่มีลักษณะคล้ายเปลือกหอยมุก ซึ่งทำให้ได้ชื่อสามัญว่า Shell Ginger ดอกมีกลิ่นหอมเล็กน้อยเมื่อบาน ผลมีลักษณะกลมมีลายหลายเส้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัด จนถึงร่มเงาบางส่วน ดินที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยอินทรีย์วัตถุ มีความชื้นปานกลางเป็นกรดเล็กน้อย และมีการระบายน้ำที่ดี ขอบใบจะเป็นสีน้ำตาลหากไม่มีความชื้นเพียงพอ ไม่ใช่พืชที่ทนแล้ง การรดน้ำ---รดน้ำบ่อย ๆ ด้วยน้ำที่ไม่เป็นด่าง พอที่จะทำให้ดินชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแห้งสนิทและจะได้รับผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการจัดการให้น้ำที่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง ตัดลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์ทางใบฉีดพ่นทุก 7-15 วัน/ครั้ง ใส่ปุ๋ยหมักเดือนละครั้งเพื่อสร้างความแข็งแรง และส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี หากปลูกในกระถางต้องใส่ปุ๋ยทุกเดือนด้วยปุ๋ยน้ำหรือใช้ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ งดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง หนอนม้วนใบ สามารถใช้ สบู่ฆ่าแมลงและน้ำมันพืชสวนได้ แต่ต้องใช้ถูกตัวโดยตรง/โรคเหี่ยวของขิงที่เกิดจากแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ควบคุมและป้องกันโรคโดยใช้ยูเรียและปูนขาว ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเอฟเฟกต์เขตร้อนในสวนประเภทต่างๆ ใช้ปลูกลงแปลงเป็นกลุ่ม ๆ ปลูกข้างทางเข้าหรือในขอบไม้พุ่มและยังใช้เป็น houseplant ปลูกในกระถางหรือในภาชนะขนาดใหญ่ได้ พันธุ์ที่มีอยู่ทั่วไปที่สุดคือ 'Variegata' แต่บางครั้งอาจพบพันธุ์อื่น ๆ รวมถึงพันธุ์ 'Variegata Dwarf' ที่มีขนาดเล็กกว่าซึ่งเติบโตสูงเพียง 0.30 เมตร แต่มีใบสีเขียวและสีเหลืองที่แตกต่างกันและ 'Variegata Chinese Beauty ' ซึ่งมีใบหินอ่อนสีเขียวอ่อนและสีเขียวเข้มและสามารถเติบโตได้สูงถึง 2.5 เมตร ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ แบ่งเหง้า
ข่าใบลาย/Alpinia vittata
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Alpinia vittata W.Bull.(1873) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Alpinia sanderae Sander.(1903) ---Alpinia tricolor Sander.(1903) ---Guillainia vittata (W.Bull) Ridl.(1937) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/872078-1#synonyms ชื่อสามัญ---Ornamental Ginger, Marble Ginger, Striped Narrow Leaf Ginger, Sander's Ginger, Variegate - Ginger ชื่ออื่น---ขิงด่าง, ข่าใบลาย, ว่านพญามือเหล็ก ;[DUTCH: Gestreifte Ingwerlilie.];[FINNISH: Kirjo Galangal.];[JAPANESE: Fuirigettô.];[PORTUGUESE: Gengibre-variegado.];[SWEDISH: Brokbladig galangarot.];[THAI: Khing dang, Kha bai lai, Wan Phaya mue hlek.] ชื่อวงศ์---ZINGIBERACEAE EPPO Code---AIIVI (Preferred name: Alpinia vittata.) ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะบิสมาร์ก ไปยัง หมู่เกาะโซโลมอน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Alpinia' เป็นเกียรติแก่แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี Prospero Alpini (1553-1617) ; ชื่อเฉพาะสายพันธู์ "vittata" มาจากคำภาษาละติน "vittatus" หมายถึงมีแถบซึ่งอ้างอิงถึงใบที่ลาย Alpinia vittata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวขิง ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์และนักพืชสวน ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2416 ที่อยู่อาศัย พบใน Bismarck Archipelago, สาธารณรัฐโดมินิกัน, ฟิจิ, หมู่เกาะลีวาร์ด, หมู่เกาะโซโลมอน,ไทย, ตรินิแดด - โตเบโก, หมู่เกาะวินวาร์ด ลักษณะ มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีลักษณะคล้ายเหง้าข่ามีรสเผ็ด มีกลิ่นฉุนกว่าขิง ส่วนที่เห็นเป็นลำต้นเทียม (คือส่วนของกาบใบที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่) แข็งแรงเรียวยาวคล้ายกก สูงได้ 1.5-2 (3) เมตร กาบใบจะมีสีเขียว โคนกาบใบสีแดงเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยวรูปใบหอกสีเขียวซีดยาวประมาณ 20 ซม. มีลายสีขาวหรือสีเหลืองครีมเป็นแถบระหว่างเส้นใบบนแผ่นใบและขอบใบ ปลายใบแหลมขอบใบเป็นคลื่น ก้านใบสั้นเกือบไม่เห็นก้านใบ ข่อดอกยาว 18-25 ซม ดอกไม้ยาว 3 ซม.สีขาวแต้มด้วยสีชมพู ริมปากรูปไข่กว้าง ยาวถึง 3 ซม.สีขาวมีสีแดง และสีเหลืองอยู่ตรงกลาง จะไม่ออกดอกจนกว่าจะถึงปีที่สอง ผลเป็นแคปซูล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในแสงปานกลางหรือแสงแดดโดยตรงที่กรองแล้ว แต่ใบจะสูญเสียความแตกต่างไปภายใต้ร่มเงาที่ลึก ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ แต่ชื้น ดินทรายที่มีอินทรียวัตถุมากจะเหมาะอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเริ่มปลูกให้ใส่ปุ๋ยหมักลงไปด้วยเพื่อส่งเสริมการกักเก็บความชื้นในดินและให้สารอาหาร ดินควรมีความเป็นกรดเล็กน้อย (6.0-6.5 pH) ถึงด่างอ่อน ๆ (7.0-7.5 pH) มีการระบายน้ำและอากาศดี อัตราการเจริญเติบโต รวดเร็ว การรดน้ำ---รดน้ำบ่อย ๆ ด้วยน้ำที่ไม่เป็นด่าง พอที่จะทำให้ดินชุ่มชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแห้งสนิทและจะได้รับผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการจัดการให้น้ำที่เหมาะสมโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง ตัดลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง มีความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำมาตรฐานทุกสองสัปดาห์ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูร้อน ในช่วงเวลาที่เหลือให้ลดการให้น้ำน้อยลงและงดให้ปุ๋ยในฤดูหนาว ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ปลูกเป็นกลุ่มหรือปลูกเป็นแปลง หรือปลูกลงในภาชนะขนาดใหญ่ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ เหง้า
|
พลับพลึงตีนเป็ด/Hymenocallis littoralis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hymenocallis littoralis (Jacq.) Salisb.(1812) ชื่อพ้อง---Has 38 Synonyms. ---Basionym: Pancratium littorale Jacq.(1763.) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30048918-2#synonyms ชื่อสามัญ---ฺBeach Spider Lily, Spider lily ชื่ออื่น---พลับพลึงตีนเป็ด, พลับพลึง กทม, ว่านตะเภาใหญ่ ;[CHINESE: Shuǐguǐ∙jiāo.];[JAPANESE: Sasaganiyuri.];[MALAYSIA: Bunga Bakung, Melung Kecil (Malay).];[MALAYALAM: Kadal thali.];[MEXICO: Lírio montés, Pancratio de playa.];[PHILIPPINES: Ajos-ajos nga maputi (Bis.); Bakong (Tag..).];[SPANISH: Lírio zac.];[SWEDISH: Strandspindellilja.];[THAI: Plab-plueng tin pet, Plab-plueng kor thor mor, Wan ta phao yai.]. ชื่อวงศ์---AMARYLLIDACEAE EPPO Code---HMJLI (Preferred name: Hymenocallis littoralis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เม็กซิโก โคลอมเบีย นิรุกติศาสตร์---ขื่อสกุล 'Hymenocallis' มาจากภาษากรีก2คำ 'hymen' = เยื่อหุ้ม และ 'kallos' = ความงาม แปลรวมว่า 'ความงามที่มีเยื่อหุ้ม' ซึ่งอ้างอิง ถึง มงกุฎที่มีหนามซึ่งบ่งบอกลักษณะของสกุล ; ชื่อสายพันธุ์ 'Littoralis' หมายถึง 'เติบโตริมชายฝั่งทะเล' อ้างอิงถึงมีถิ่นกำเนิดในบริเวณชายฝั่งของละตินอเมริกา Hymenocallis littoralis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกวงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) ในสกุล Hymenocallis ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดยNikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Richard Anthony Salisbury (1761–1829) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2355 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบริเวณชายฝั่งที่อบอุ่นของละตินอเมริกา (เบลีซ บราซิล โคลอมเบีย คอสตาริกา ฮอนดูรัส เม็กซิโก นิการากัว ปานามา เปรู และเวเนซุเอลา) ที่ระดับความสูง 0-300 เมตร มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายและมีสัญชาติในหลายประเทศในเขตร้อน แปลงสัญชาติในสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา) ในประเทศไทยพบทุกภูมิภาค ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นล้มลุกมีอายุหลายปี มีลำต้นเป็นหัว หรือ เหง้าใต้ดิน ลำต้นกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม.และจะชูใบขึ้นมาเหนือดินในลักษณะติดกันเป็นกอ สูงตั้งแต่ 30–70 ซม.ใบรูปขอบขนาน 40-120 x 1.5-5 (-7) ซม.แผ่นใบหนาสีเขียวเป็นมัน ดอกไม้มีขนาดใหญ่สีขาว ดอกจะชูก้านขึ้นมาเหนือกอ ก้านหนึ่งมีดอกประมาณ 4-8 ดอก ซึ่งจะทยอยกันบานทีละ 2-3 ดอก ดอกหนึ่งจะมี 6 กลีบ สีขาว กลีบดอกจะเรียวยาว เกสรมีอยู่ 6 เส้น ตอนปลายเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล มองดูจะคล้ายกับตัวแมงมุม ดอกบานตอนกลางคืนถึงเช้า มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลเป็นแบบแห้งแตก (Capsule) ผลสดสีเขียว รูปร่างค่อนข้างกลม ผลแก่จะเป็นสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ดลักษณะกลมสีน้ำตาลดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทั่ว ๆ ไป ชอบความชื้นสูง เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ในที่ร่มและกลางแสงแดดจัด สามารถทนแล้งและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี หากต้องการให้ออกดอกมากให้ปลูกกลางแจ้ง แต่ถ้าต้องการให้มีใบสวยงามให้ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร อุณหภูมิที่เหมาะสม 21°C-29°C (32°C) ฤดูหนาวต่ำสุด16°C (4°C) ในสภาพอากาศที่เย็นกว่าอาจสูญเสียใบ การรดน้ำ---ให้ดินแห้งก่อนการรดน้ำ และควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าดินไม่มีน้ำขัง ลดการให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว ในช่วงพักตัว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง แยกลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอเจือจางลงครึ่งหนึ่งทุก 2 สัปดาห์ หลังจากที่ดอกไม้ร่วงโรยแล้ว งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เป็นพืชที่ทนทานและไม่ต้องการบำรุงรักษามากนัก/ศัตรูที่เลวร้ายที่สุดคือความชื้นส่วนเกินซึ่งอาจทำให้รากและหัวเน่าได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในแนวระนาบข้างถนนหรือทางเดินในสวน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล หรือจะปลูกไว้ในอาคารก็ได้เช่นกัน -ใช้เป็นยา ใบนำมาย่างกับไฟ ใช้พันแก้อาการฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ในฟิลิปปินส์สารสกัดจากหัวใช้ในการรักษาบาดแผล-ในประเทศลาวใช้รากต้มน้ำรักษาไส้เลื่อน รู้จักอันตราย---หัวของพลับพลึงมีพิษในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า "Lycorine" มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มีอาการอาเจียน ตัวสั่น เหงื่อออก มีน้ำลายมาก และมีอาการท้องเดินแบบไม่รุนแรง ระยะออกดอก---ออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูฝน ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ
พลับพลึงแดง/Crinum amabile
ชื่อวิทยาศาสตร์---Crinum x amabile Donn ex Ker Gawl (1811) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Crinum × amabile var. augustum (Roxb.) Ker Gawl.(1822.) ---Crinum x augustum Roxb.(1817) ---Crinum x superbum Roxb.(1824.) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/63772-1#synonyms ชื่อสามัญ---Milk-And-Wine Lily, Giant spider Lily ชื่ออื่น---พลับพลึง, พลับพลึงดอกแดงสลับขาว, พลับพลึงใหญ่ดอกสีชมพู, พลับพลึงดอกแดง (กรุงเทพ, ภาคกลาง), ลิลัว (ภาคเหนือ);[CHINESE: Wen shu lan.];[DUTCH: Melk-en-wijn-lelie.];[FIJI: Lautalotalo, Viavia.];[HINDI: Sudarshan.];[JAPANESE: Taiwan-hamaomoto, Hamawomoto.];[MALAYSIA: Bakung Labah-labah (Malay).];[TAMIL: Visamungil.];[MALAYALAM: Pulattali.];[MANIPURI: Modo Lei.];[MARSHAIIESE: Kieb, Kiebe.];[PALAU: Bisecherad ra ngebard.] ;[SAMOA: Lau talotalo.];[SPANISH: Amancay, Lirio de cinta.];[TAHITI: Eriri.];[THAI: Plab-plueng Dang, Plab-plueng dok dang.];[TONGA: Talotalo, Tolotalo.];[YAPESE: Giobwutet, Giop, Guyab.] ชื่อวงศ์---AMARYLLIDACEAE EPPO Code---KRMAU (Preferred name: Crinum x amabile.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเซียใต้ ออสเตรเลียและหมู่เกาะแปซิฟิก นิรุกติศาสตร์--- Crinum x amabile เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง Crinum asiaticum L. × Crinum zeylanicum L.ได้รับการตั้งชื่อเป็นสปีชีส์ อธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต John Bellenden Ker Gawler (1764–1842) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2354 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ (หมู่เกาะอินเดียตะวันออก, เกาะสุมาตรา) ตอนเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิกบางแห่ง มีการเพาะปลูกกันอย่างแพร่หลายและได้รับการแปลงสัญชาติ เช่นในฟิจิพบได้ตามหาดทรายและบริเวณชายฝั่งอื่น ๆ เติบโตที่ระดับความสูง 800 เมตรขึ้นไป ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นล้มลุกมีอายุหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นมีหัวอยู่ใต้ดิน ส่วนที่อยู่เหนือดินขึ้นไปประกอบไปด้วยกาบใบสีขาวหุ้มซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงซ้อนสลับกัน ใบรูปใบหอกกว้างประมาณ 7-15 ซม. และยาวประมาณ 1.2 เมตร ใบเป็นสีเขียว ผิวใบอ่อนนุ่ม อวบน้ำ หนา และเหนียว พลับพลึง แดงออกดอกเป็นช่อใหญ่ โดยมีก้านดอกพุ่งออกมาจากกอ ยาวประมาณ 0.60-0.90 เมตร ช่อดอกหนึ่งมีดอกราว 10-15ดอก ดอกเป็นสีม่วงแดงและมีขนาดใหญ่กว่าดอกพลับพลึงดอกขาวเล็กน้อยกลีบดอกด้านในออก สีขาวอมชมพู ด้านนอกตรงกลางกลีบเป็นสีม่วงแดงตามขอบกลีบเป็นสีขาว เกสรตัวผู้สีม่วงแดง มีกลิ่นหอม ผลเป็นแคปซูลกลม ผลสดสีเขียว เมล็ดกลมสีน้ำตาลดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ในที่ร่มและกลางแสงแดดจัด สามารถทนแล้งและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี หากต้องการให้ออกดอกมากให้ปลูกกลางแจ้ง แต่ถ้าต้องการให้มีใบสวยงามให้ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร อุณหภูมิที่เหมาะสม 21°C-29°C (32°C) ฤดูหนาวต่ำสุด16°C (4°C) ในสภาพอากาศที่เย็นกว่าอาจสูญเสียใบ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทั่ว ๆ ไป ชอบความชื้นปานกลาง การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้ง และควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ลดการให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว ในช่วงพักตัว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง แยกลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอเจือจางลงครึ่งหนึ่งทุก 2 สัปดาห์ หลังจากที่ดอกไม้ร่วงโรยแล้ว งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เป็นพืชที่ทนทานและไม่ต้องการบำรุงรักษามากนัก/โรคใบจุดดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทางเดินในสวน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล -ใช้เป็นยา ใบนำเอามาย่างไฟ พันแก้ฟกช้ำ บวม เคล็ด ขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอด ต้มรับประทานทำให้อาเจียน มีรสขม ในอินเดียใช้เป็นยาระบาย ขับเสมหะ รักษาโรค เกี่ยวกับน้ำดี เมล็ดเป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุง รู้จักอันตราย---หัวของพลับพลึงมีพิษในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า "Lycorine" มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มีอาการอาเจียน ตัวสั่น เหงื่อออก มีน้ำลายมาก และมีอาการท้องเดินแบบไม่รุนแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทางเดินในสวน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล -ใช้เป็นยา ใบนำเอามาย่างไฟ พันแก้ฟกช้ำ บวม เคล็ด ขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอด ต้มรับประทานทำให้อาเจียน มีรสขม ในอินเดียใช้เป็นยาระบาย ขับเสมหะ รักษาโรค เกี่ยวกับน้ำดี เมล็ดเป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุง ระยะออกดอก---เดือนกันยายน-เดือนตุลาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ และปักชำหัว
พลับพลึงทอง/Crinum asiaticum var. asiaticum.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Crinum asiaticum var. asiaticum ชื่อพ้อง---Has 43 Synonyms ---Amaryllis carnosa Hook.f.(1892) ---Crinum zanthophyllum L.S.Hannibal.(1972) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77171447-1#synonyms ชื่อสามัญ---Golden-Leaf Crinum-Lily, Poison bulb, Giant crinum lily, Grand crinum lily, Spider lily ชื่ออื่น---พลับพลึงทอง ;[Plabplueng thong.]. ชื่อวงศ์---AMARYLLIDACEAE EPPO Code---KRMSP (Preferred name: Crinum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--มหาสมุทรอินเดีย เอเชียตะวันออก ออสเตรเลีย หมู่เกาะแปซิฟิก ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'asiaticum' อ้างอิงถึงพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย Crinum asiaticum เป็นสายพันธุ์พืชดอกวงศ์พลับพลึง ได้รับการอธิบาย ครั้งแรกโดย CarlLinnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296 Crinum asiaticum var. asiaticum เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Crinum asiaticum สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) ในสกุลลิลลี่ (Crinum) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย เอเชียตะวันออก เอเชียเขตร้อน ออสเตรเลียและหมู่เกาะแปซิฟิก ถือได้ว่าเป็นสัญชาติในเม็กซิโก, เวสต์อินดีส, ฟลอริด้า, ลุยเซียนา, หมู่เกาะแปซิฟิกและมาดากัสการ์ พบได้ในพื้นที่ชื้นตามฤดูกาล รวมทั้งหนองบึง ที่ลุ่ม และตามริมลำธารและทะเลสาบในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก ลักษณะ พลับพลึงทอง เป็นต้นที่กลายพันธุ์มาจาก Crinum asiaticumโดยใบและกอจะเล็กกว่า ลักษณะลำต้นใต้ดินเป็นหัวคล้ายหัวหอมเป็นกลีบเรียงซ้อนกันแน่น ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ยาวกว่า 1 เมตร ปลายใบแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา ขณะที่แตกใบใหม่ ใบจะมีสีเขียวอมเหลืองเป็นมันและกลายเป็นสีเหลืองทั้งใบเมื่อโตเต็มที่ซึ่งเป็นธรรมชาติของต้นไม้ชนิดนี้ ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม ออกตามซอกใบ สีขาว ออกดอกช่อละ4-8ดอกดอกสีขาว มี 6 กลีบมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ก้านช่อดอกแข็ง ยาว 50-70 ซม. ก้านชูเกสรเพศผู้ยาว อับเรณูสีเหลือง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ทั้งในร่มรำไร และแดดจัด แต่ถ้าปลูกในร่มสีจะไม่เหลืองจัดจ้านเหมือนอยู่กลางแดด ใบจะออกสีเหลืองอมเขียว ค่อนไปทางสีเขียวมากกว่า ทนน้ำท่วมขัง และทนแล้งได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้ง และควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ลดการให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาว ในช่วงพักตัว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง ตัดใบแห้งทิ้ง แยกลำต้นในกอที่หนาแน่นเกินไปตามความต้องการ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอเจือจางลงครึ่งหนึ่งทุก 2 สัปดาห์ หลังจากที่ดอกไม้ร่วงโรยแล้ว งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เป็นพืชที่ทนทานและไม่ต้องการบำรุงรักษามากนัก/โรคใบจุดดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด หากพบอาการใบเป็นสีแดงๆ คล้ายๆ น้ำหมาก อย่าเข้าใจผิดคิดว่าติดไวรัส แต่อาจเป็นเพราะอยู่ในในสภาพที่ไม่เหมาะ ควรตัดแต่งใบที่มีลักษณะดังกล่าวออกไม่ต้องใช้ยารักษาโรคอะไรทั้งสิ้น ภายใต้สภาพการเจริญเติบโตที่เหมาะสม ใบไม้จะมีสีทองสวยงาม ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทางเดินในสวน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล รู้จักอันตราย---หัวของพลับพลึงมีพิษในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า "Lycorine" มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มีอาการอาเจียน ตัวสั่น เหงื่อออก มีน้ำลายมาก และมีอาการท้องเดินแบบไม่รุนแรง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกประดับในสวนกลางแจ้งโดยใช้ความงามและสีสันจากใบ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในแนวระนาบข้างถนนหรือทางเดินในสวน ริมน้ำตก ลำธาร ริมทะเล หรือจะปลูกไว้ในอาคารก็ได้เช่นกัน ระยะออกดอก---ออกดอกดกในช่วงฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม-เดือนกันยายน) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหัว แยกกอ (ออกดอกครั้งแรกเมื่อโตจากเมล็ด มักเกิดขึ้นใน 3-8 ปี)
รางทอง/Hymenocallis littoralos
Phonetic Spelling: hy-men-oh-KAL-is lit-tor-AY-liss
ชื่อวิทยาศาสตร์ --Hymenocallis littoralis (Jacq.) Salisb cv.Variegata ชื่อพ้อง---Hymenocallis littoralis 'Variegata'; Hymenocallis caribaea 'Variegata' ชื่อสามัญ ---Beach Spider Lily 'Variegata' , Variegated Beach Spider Lily, Caribbean spider lily ชื่ออื่น ---รางทอง, ว่านรางทอง, ว่านสี่ทิศด่าง, ว่านสี่ทิศรางทอง;[SPANISH: Lírio zac, Lírio montés, Pancratio de playa.];[THAI: Rang thong, Wan rang thong, Wan sithit dang, Wan sithit rang thong.] ชื่อวงศ์ --- AMARYLLIDACEAE EPPO Code--- HMJLI (Preferred name: Hymenocallis littoralis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน และตอนเหนือของ อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hymenocallis' มาจากภาษากรีก แปลว่า 'ความงามที่เป็นเยื่อ' ซึ่งอ้างอิงถึงถ้วยใย ; ชื่อสายพันธุ์ 'littoralis' หมายถึง 'เติบโตริมชายทะเล' ; 'Variegated' จากภาษาละติน อธิบายการมีอยู่ของใบไม้ กลีบดอก หรือส่วนอื่นๆ ของพืชตั้งแต่สองสีขึ้นไป Hymenocallis littoralis 'Variegata' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid Variety) ของ Hymenocallis littoralis สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พลับพลึง (Amaryllidaceae) สกุล Hymenocallis ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน และตอนเหนือของ อเมริกาใต้ไม่พบในสภาพธรรมชาติ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกต้นเหนือดินตั้งตรงมีข้อปล้องสั้น ๆ อัดตัวกันแน่น สูงประมาณ 30-50 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยวมี 3-10 ใบ ลักษณะใบเรียวยาวอวบน้ำเรียงสลับบนลำต้น ขนาดใบ กว้าง 3 -4 ซม.ยาว 30-40 ซม.แผ่นใบสีเขียวมีเส้นขอบขนานตามยาวสีเหลืองครีมหรือขาวครีม ผิวใบเรียบเป็นมัน ขอบใบเรียบ ออกดอกเดี่ยวที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาวตรง กลีบดอก สีขาว เกสรเพศผู้ 5 อัน สีขาว เกสรเพศเมีย 1 อัน สีชมพู รังไข่ใต้วงกลีบ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายพลับพลึง ผลเป็นแคปซูลกลมหรือรี เมล็ดแบน สีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ร่ม (ใต้ร่มเงาพืชอื่น) ถึงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) รักษาความชื้นสัมพัทธ์ไว้ที่ 40-50% เพิ่มความชื้นรอบๆ ต้นไม้ได้โดยสเปรย์น้ำหรือพ่นหมอกเป็นระยะ ชอบดินร่วนปนทรายที่ชื้นระบายน้ำได้ดี pH 5.6-7.5 การรดน้ำ---ชอบความชื้นคงที่รดน้ำสม่ำเสมอสัปดาห์ละ2ครั้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำจากด้านบนไม่ให้เปียกใบไม้ด้านล่างโดยตรง อาจใช้ท่อน้ำหยดหรือวิธีอื่นๆ ที่น้ำสามารถหยดเป็นมุมหรือรดตรงบริเวณโคนต้น ในฤดูหนาวหากขาดน้ำจะทิ้งใบเหลือหัวใต้ดิน และเกิดใบใหม่ในต้นฤดูฝน การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง หากพบใบไม้ที่ตายหรือเสียหาย ให้ตัดออกทันที การใส่ปุ๋ย---ไม่ใช้ปุ๋ยคอกเพราะอาจทำให้รากพืชเสียหายได้ ใส่ปุ๋ยน้ำทางใบสูตรสมดุลโดยเจือจางลงครึ่งหนึ่งทุกสองสัปดาห์ หรือปุ๋ยเคมีละลายน้ำสูตร 15-15-15 เจือจางทุกสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ระวังหอยทาก/โรครากเน่า โคนเน่า รู้จักอ้นตราย---ใบ ราก และทุกส่วนหากกินเข้าไป เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกได้ทั้งภายใน และ ภายนอกอาคาร มักนิยมปลูกในกระถางตั้งหน้าบ้านหรือร้านค้าเป็นหลัก หรือปลูกลงแปลงกลางแจ้งคลุมดิน ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณ ทางด้านเมตตามหานิยม ปลูกไว้จะเป็นศิริมงคล แก่สถานที่นั้นๆ และทำให้มีความเจริญก้าวหน้า ระยะออกดอก---กลางฤดูร้อนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ แบ่งหัวชำ
|
สกุล โฮมาโลนีมา/Homalomena
ชื่อสกุล---Homalomena Schott ชื่อสามัญ---Queen of hearts, Shield plant ชื่อวงศ์--- ARACEAE นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Homalomena' มาจากชื่อภาษามลายูที่แปลผิด ที่แปล 'homalos' หมายถึง แบน และ 'mene' =ดวงจันทร์ Homalomena ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนถึงกึ่งเขตร้อนที่พบในภูมิอากาศชื้นเช่นโคลัมเบีย, คอสตาริกา, บอร์เนียว, ชวา, สุมาตรา, มาเลเซียและฟิลิปปินส์ พืช Homalomena เกือบ 135 ชนิดสามารถพบได้บนพื้นป่าฝนในเอเชียใต้ทางตะวันออกถึงเมลานีเซีย ดอกไม้พื้นเมืองเหล่านี้เป็นหนึ่งในพืชเขตร้อนมากกว่า 100 สายพันธุ์ในตระกูล Araceae ทั่วทั้งอเมริกากลางและอเมริกาเหนือตอนเหนือ มีพืช Homalomena อีก 12 สายพันธุ์ที่เติบโตเพียงลำพัง Read more at Gardening Know How: Homalomena Houseplants: How To Grow Homalomena https://www.gardeningknowhow.com/houseplants/homalomena/homalomena-houseplants.htm ลักษณะเด่น ของพรรณไม้สกุลนี้คือ เป็นไม้อวบน้ำ ทุกส่วนของต้นเมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอม ใบรูปไข่หรือใบหอก โคนใบรูปหัวใจ แผ่นใบเรียบหรือมีขนนุ่มปกคลุม บางชนิดมีหนาม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น กาบช่อดอกสั้นโอบม้วนปลีดอกเอาไว้ และจะคลี่ออกเมื่อดอกบาน ดอกติดทนนานจนติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดรำไร ดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบ฿รณ์ หรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์---ชาวทมิฬรู้จักพืชชนิดนี้มากว่า 3000 ปี มันถูกเรียกว่า merugu และใช้เป็นยาเพื่อวัตถุประสงค์หลายประการ รวมถึงการรักษาความผิดปกติของกระเพาะอาหาร ริดสีดวงทวารและเสมหะ น้ำมันหลายชนิดเช่น kumaraguru enney, merugulli enney และ merugu pachai enney ใช้รักษาโรคต่างๆ สำหรับชนิดที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในที่ร่มรำไร ยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้ พวกเสน่ห์จันทร์ต่างๆ ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ
เสน่ห์จันทร์ขาว/Homalomena lindenii
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Homalomena lindenii (Rodigas) Ridl.(1908) ชื่อพ้อง----Has 1 Synonyms ---Alocasia lindenii Rodigas (1886). ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-99995 ชื่อสามัญ ----Queen of hearts, Shield plant (Homalomena) ชื่ออื่น ----เสน่ห์จันทร์ขาว, เสน่ห์จันทร์เจ้าจอม ; [CHINESE: Qian nian jian.];[TAMIL: Merugu.];[THAI: Sa ne-jan khao, Sa ne-jan chao chom.]. ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---ALDLI (Preferred name: Alocasia lindeni.) syn ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกาใต้ เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Homalomena' มาจากชื่อภาษามลายูที่แปลผิด ที่แปล 'homalos' หมายถึง แบน และ 'mene' =ดวงจันทร์ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ "lindenii" มาจากผู้ค้นพบคือ Jean Jules Linden (1817–1898) นักสะสม พืชชาวเบลเยียม Homalomena lindenii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Émile Rodigas (1831–1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยี่ยมและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2451 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน เป็นพืชพื้นเมืองของนิวกินี ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มย่อย ต้นสูง 50-60 ซม.มีหัวอยู่ใต้ดินโดยมีลำต้นโผล่ขึ้นมาและมีกาบใบห่อหุ้มลำต้นไว้ ลักษณะคล้ายกับต้นบอน ใบรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์ โคนใบเว้า ปลายใบแหลม แผ่นใบสีเขียว เส้นกลางใบสีขาว ก้านใบสีเขียวอ่อน มีดอกสีขาวอมเขียว ทุกส่วน ราก ก้าน ใบ ดอกมีกลิ่นหอม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไร ชอบดินทราย หรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมาก แต่ไม่ชอบให้น้ำขัง การรดน้ำ--ชอบน้ำมากควรรดน้ำทุกวัน หากเป็นฤดูแล้งให้รดน้ำเช้า-เย็น ฤดูหนาวลดการให้น้ำน้อยลง รดเท่าที่จำเป็น การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชพักตัว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ให้ความสวยงาม และส่งกลิ่นหอม ใช้ปลูกลงกระถางตั้งประดับเพื่อดูดสารพิษในห้องหรืออาคาร ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ปลูกแล้วมีคุณทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม ให้โชคลาภและมีศิริมงคล หากมีกิจการร้านค้าปลูกไว้จะค้าขายร่ำรวย ทุกส่วนใช้ทำหรือเป็นส่วนผสมของพระเครื่องหรือวัตถุมงคล เมื่อว่านออกดอกให้นำผ้าสีขาวนวลหรือผ้าสีเหลืองมาผูกเป็นการรับขวัญแล้วจะโชคดี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แบ่งห้ว แยกหน่อ
เสน่ห์จันทร์แดง/Homalomena rubescens Kunth
ชื่อวิทยาศาสตร์---Homalomena rubescens (Roxb.) Kunth.(1841) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Calla rubescens Roxb.(1832) ---Chamaecladon rubescens (Roxb.) Schott (1858) ---Zantedeschia rubens K.Koch.(1855.) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-100064 ชื่อสามัญ ----Queen of hearts, Shield plant (Homalomena) ชื่ออื่น----เสน่ห์จันทร์แดง ;[CHINESE: Qian nian jian.];[THAI: Sane-jan daeng.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---HMMRU (Preferred name: Homalomena rubescens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- สิกขิม ภูฏาน อินเดีย เมียนมาร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Homalomena' มาจากชื่อภาษามลายูที่แปลผิด ที่แปล 'homalos' หมายถึง แบน และ 'mene' =ดวงจันทร์ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ "rubescens" = เติบโต กลายเป็นสีแดง Homalomena rubescens เป็นสายพันธุ์ ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2384 ที่อยู่อาศัย พืชท้องถิ่นในเขตร้อนชื้นของเอเซีย (สิกขิม ภูฏาน อัสสัม อรุณาจัลประเทศ เมียนมาร์) ลักษณะ ต้นสูง 50-60 ซม.ใบรูปหัวใจปลายใบแหลมกว้างประมาณ 10-15 ซม.ยาวประมาณ 15-20 ซม.แผ่นใบสีเขียวคล้ำเป็นมัน ก้านใบสีม่วงแดงดอกมีขนาดเล็กและไม่มีกลีบดอกซ่อนอยู่ในกาบดอก ผลทรงกลมขนาดเล็ก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไร ชอบดินทราย หรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมาก แต่ไม่ชอบให้น้ำขัง การรดน้ำ--ชอบน้ำมาก ควรรดน้ำทุกวัน หากเป็นฤดูแล้งให้รดน้ำเช้า-เย็น ฤดูหนาวลดการให้น้ำน้อยลง รดเท่าที่จำเป็น การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชพักตัว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกลงกระถางตั้งประดับเพื่อดูดสารพิษในห้องหรืออาคาร ความเชื่อ/พิธีกรรม-ทุกส่วนใช้ทำหรือเป็นส่วนผสมของพระเครื่องหรือวัตถุมงคลเป็นว่านเมตตามหานิยมและว่านเสริมโชคเสริมลาภ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แบ่งห้ว แยกหน่อ
เสน่ห์จันทร์บุษราคัม/Homalomena sp
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Homalomena sp. ชื่อพ้อง----No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Queen of hearts, Shield plant (Homalomena) ชื่ออื่น ----เสน่ห์จันทร์บุษราคัม ;[CHINESE: Qian nian jian.];[THAI: Sane -jan busarakham.]. ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---HMMSS (Preferred name: Homalomena sp.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียเขตร้อนและอเมริกา Homalomena sp.เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกชนิดหนึ่งในครอบครัววงศ์ Araceae ลักษณะ ต้นสูง 50-60 ซม.ใบรูปหัวใจ ปลายเรียวแหลมมน คล้ายเสน่ห์จันทร์แดงแต่ใบจะใหญ่และป้อมกว่า แผ่นใบสีเขียวเป็นมันมีด่างพร่าทั่วใบ ก้านใบสีม่วงแดง แตกหน่อง่าย ยังมีเสน่ห์จันทร์โกเมนอีกต้นที่นิยมปลูก แผ่นใบรูปหัวใจ ปลายใบเรียวแหลมสีแดงคล้ำก้านใบสีแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไร หรือครึ่งวันเช้า ชอบดินทราย หรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมาก แต่ไม่ชอบให้น้ำขัง การรดน้ำ---ควรรดน้ำทุกวัน หากเป็นฤดูแล้งให้รดน้ำเช้า-เย็น ฤดูหนาวลดการให้น้ำน้อยลง รดเท่าที่จำเป็น การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพราะไวต่อปุ๋ยเคมีมากห้ามใช้ ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชพักตัว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ให้ความสวยงาม ปลูกลงกระถางตั้งประดับเพื่อดูดสารพิษในห้องหรืออาคาร ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แบ่งห้ว แยกหน่อ
ร่มญี่ปุ่น/Homalomena wallisii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Homalomena wallisii Regel.(1877) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Curmeria wallisii (Regel) Masl. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-100104 ชื่อสามัญ---Silver Shield ชื่ออื่น---ร่มญี่ปุ่น ;[POLAND: Czermiówka.];[SPANISH: Rey de corazones.];[THAI: Rom yi-pun.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---HMMWA (Preferred name: Homalomena wallisii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เวเนซูเอล่า ปานามา โคลัมเบีย คอสตาริกา ประเทศในเขตร้อน Homalomena wallisii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard August von Regel (1815–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเวเนซุเอลาโคลัมเบียและปานามา ปลูกเป็นไม้ประดับในคอสตาริกา และประเทศในเขตร้อน ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าอยู่ใต้ดินมีความสูงประมาณ 15 -25 ซม.แต่มีการแพร่กระจายที่กว้างกว่ามาก ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ถึงรูปไข่แกมรี ยาวประมาณ 13-20 ซม.ปลายใบมนหรือแหลมแผ่นใบหนาเป็นกำมะหยี่ สีเขียวอมเทา มีสีเขียวครีมเป็นหย่อม ๆ คล้ายกับลายพราง ใต้ใบสีม่วงแดง ก้านใบสั้น กาบรองช่อดอกสีม่วงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- สามารถพบได้ในสวนเขตร้อน แต่ไม่ทนต่อความหนาวเย็นได้ดีดังนั้นจึงปลูกในบ้านหรือในเรือนกระจก ชอบสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและชื้นโดยไม่มีแสงโดยตรงมากเกินไปซึ่งอาจทำให้เกิดรอยไหม้บนใบโดยมีอุณหภูมิระหว่าง 15 ถึง 32 ° C แม้ว่าจะสามารถทนได้ถึง 7 ° C ในช่วงเวลาสั้น ๆ การรดน้ำ---ต้องรดน้ำให้เพียงพอโดยไม่ให้น้ำท่วมพื้นผิวเนื่องจากน้ำนิ่งอาจทำให้รากเสียหายได้หากอุณหภูมิลดลงขอแนะนำให้ลดการรดน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการเน่าเปื่อย ในทางกลับกันถ้าอากาศหรือวัสดุปลูกแห้งมากอาจมีจุดสีเหลืองปรากฏที่ขอบใบสามารถฉีดพ่นด้วยน้ำที่ปราศจากปูนขาวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชพักตัว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับใบสีฉูดฉาด เหมาะปลูกเป็นไม้กระถาง เป็นต้นไม้ในร่มที่ไม่ต้องการดูแลมากมายนัก สามารถปลูกลงกระถางตั้งประดับเพื่อดูดสารพิษในห้องหรืออาคาร ขยายพันธุ์---แบ่งเหง้า
|
สกุล อโลคาเซีย/Alocasia (Schott) G.Don f.
Alocasia เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี เจริญได้ดีในดินร่วนระบายน้ำดีแสงแดดรำไร และจะพักตัวในฤดูหนาว ลักษณะ มีต้นจริงเจริญเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินคือลำต้นเทียม ใบรูปหัวใจหรือลูกศรปลายแหลมหรือมน ดอกแยกเพศอยู่บนช่อเดียวกัน ติดผลกลมสุกสีแดงหรือส้ม อโลคาเซียนิยมปลูกเป็นไม้ประดับกันมากเพราะเลี้ยงง่ายขยายพันธุ์ง่ายด้วยการแยกหน่อมาปลูกใหม่ ชนิดที่นิยมปลูกเลี้ยงตัวอย่างดังต่อไปนี้
|
กระดาดขาว/Alocasia macrorrhizos
Picture: https://sites.google.com/site/efloraofindia/species/a---l/ar/araceae/alocasia/alocasia-macrorhiza ชื่อวิทยาศาสตร์---Alocasia macrorrhizos (L.) G.Don (1839) ชื่อพ้อง---Has 68 Synonyms ---Basionym: Arum macrorrhizon L. ---Caladium macrorrhizon (L.) R. Br.(1810) ---Colocasia macrorrhiza (L.) Schott ex Schott & Endl.(1832) ---More. See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl/record/kew-6775 ชื่อสามัญ---Giant Taro, Giant alocasia, Alocacia Plant, Upright elephant ear, Giant ape ชื่ออื่น---กระดาดเขียว, กระดาดขาว, บอนเขียว ;[ASSAMESE: Man-kochu, Phatra-man-kochu.];[AUSTRALIAN: Cunjevoi.];[BRAZIL: Inhame-açú, Orelha de elefante.];[CHINESE: Rè yà hǎi yù, Lao hu yu, Gu po yu, Gou shen yu, Zhu bu gong, Du zu lian, Jia hai yu, Jian wei yu.];[CUBA: Malanga de jardín.];[DUTCH: Alocasie, Reuzentaro.];[FIJI: Via nganga; viadidi.];[FRENCH: Alocasie à grandes racines, Oreille d'éléphant, Songe blanc, Songe sauvage, Taro géant.];[GERMAN: Alokasie, Indische Tropenwurz, Riesentaro, Riesenblättriges Pfeilblatt, Tropenwurz, Indische.];[HAWAII: Ape keoke, Apii.;[HINDI: Mankanda.];[INDONESIA: Ababa, Biah, Bira, Sente, Wia, Mae, Mael, Makata, Mira, Wire, Wir.];[ITALIAN: Orecchie di elefante.];[JAPANESE: Kuwazuimo.];[KANNADA: Baalaraaksha,Genasoo.];[LAOS: Kaph’uk.];[MALAYALAM: Chembu.];[MALAYSIA: Birah hiram, Keladi, Sebaring.];[MYANMAR: Pein-mohawaya.];[PHILIPPINES: Malabiga (Tag.); Aba-aba, Badiang, Bagiang, Biga (Tag., Ilk., Bis., Pamp.).];[PORTUGUESE: Inhame-assú, Inhame-gigante, Inhame-vermelho, Orelha-de-elefante-gigante.];[SAMOA: Ta'amu.];[SANSKRIT: Manakanda, Manak mahapatra, Dirghadal, Mahacchada, Mahatpatra, Pankanca.];[SPANISH: Camacho, Malanga, Yautía.];[SWEDISH: Alokasia.];[TAMIL: Merukan, Merukan kizhangu.];[THAI: Bon kradat khao, Bon kradat khieo, Bon khieo.];[TONGA: Kape.];[USA/HAWAII: ‘Ape.];[VIETNAM: Ray cay, Khoais.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---ALDMA (Preferred name: Alocasia macrorrhizos.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อนุทวีปอินเดีย ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก Alocasia macrorrhizos เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Don (พ.ศ. 2341–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ. ในปีพ.ศ.2382
ที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มที่จะมีถิ่นกำเนิดในอินเดียหรือศรีลังกา หรืออาจจะมีถิ่นกำเนิดในมาเลเซีย (รวมถึงคาบสมุทรมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบางส่วนของอินโดนีเซีย) ควีนส์แลนด์และหมู่เกาะโซโลมอน ปัจจุบันมีการกระจายอย่างกว้างขวางและแปลงสัญชาติในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนหลายแห่งในอเมริกาเหนือ อเมริกากลางและใต้ อินเดียตะวันตก แอฟริกาเขตร้อน และหมู่เกาะอินโดแปซิฟิก พบทั่วไปตามริมฝั่งแม่น้ำและที่ชื้นอื่น ๆ จากระดับน้ำทะเลถึง 500 เมตร มีการเพาะปลูกในอินเดีย ศรีลังกา และบังคลาเทศ ในเมียนมาร์ ไทย และมาเลเซียในคาบสมุทรมลายู และในเขตร้อนของอเมริกาและในบางส่วนของแอฟริกาซึ่งเป็นพืชผลย่อย ( Lebot, 2008 ). มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในซามัว ตองกา กลุ่มวาลลิส และฟุตูนาเลาของฟิจิ และบางส่วนของวานูอาตู ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีเหง้าทอดไปตามพื้นดิน ลำต้นตั้งตรง สูง1-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 ซม.ลำต้นเป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล มีหัวอยู่ใต้ดิน ใบรูปหัวใจปลายมน ใบหยักเป็นคลื่นห่าง ๆ แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ใบมีขนาดกว้างประมาณ 25-60 ซม.ยาวประมาณ 30-90 ซม.ก้านใบใหญ่และเป็นสีม่วงปนสีน้ำตาล ยาวประมาณ 1.2-1.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ช่อดอกเป็นแท่งยาวปลายแหลม (ลักษณะคล้ายกับดอกบอน) ออกตรงกลางต้น มีความยาวประมาณ 11-23 ซม. ดอกมีกาบสีเหลืองอมสีเขียวหุ้มอยู่ ดอกเพศผู้จะมีจำนวนมากกว่าดอกเพศเมีย ผลเป็นผลสดรูปทรงกลมและมีขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2 ซม. เนื้อในผลนุ่มสีแดงและมีเมล็ดแข็งอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดรูปทรงกลม 12 × 8 มม สีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า ชอบดินร่วนโปร่ง ระบายน้ำได้ดี และอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะสามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง pH ในช่วง 5.7 - 6.3 ทนได้ 5 - 7.3 ไม่พักตัวในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชไม่พักตัว การใส่ปุ๋ยใส่ปกติ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้พวกอโลคาเซียนิยมนำมาใช้จัดสวนบาหลีและสวนน้ำอย่างมาก ปลูกริมน้ำตกลำธารและนิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่ม -ใช้กิน เหง้าต้มสุกใช้กินได้หรือใส่ในแกง -ใช้เป็นยา ต้น ราก เหง้าใช้ต้มกินเป็นยาระบายแบบอ่อน ๆ รากใช้ทาแก้พิษของแมงป่อง ไหลใช้กินเป็นยาขับพยาธิ หัวนำมาโขลกใช้พอกรักษาแผลที่เป็นหนอง รากหรือเหง้าใช้ต้มกินเป็นยาขับปัสสาวะ ใบใช้เป็นยาฝาดสมาน ช่วยห้ามเลือด ยาต้มจากใบใช้กินแก้อาการท้องผูกชนิดพรรดึก -ใช้ในยาแผนโบราณในหมู่เกาะแปซิฟิก รากใช้รักษาต่อมน้ำเหลืองบวม เหง้าใช้รักษาอาการปวดท้องและท้องร่วง- รักษาภาวะพร่องทางเพศได้โดยการกินใบปรุงในกะทิ รู้จักอันตราย---ต้นกระดาดจะมีสารจำพวกเรซินและ Protoanemonine ซึ่งเป็นพิษ และยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล
กระดาดด่าง/Alocasia macrorrhizos 'Variegata'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alocasia macrorrhizos var. variegata (K.Koch & CDBouché) Furtado ชื่อพ้อง ---This name is a synonym of Alocasia macrorrhizos (L.) G.Don . ชื่อสามัญ---Variegated Elephant’s Ear, Elephant Ear, Variegated Upright Elephant Ears, Alocasia macrorrhiza 'Variegata' ชื่ออื่น---กระดาดใบด่าง, พญากาเผือก; [THAI: Kradat bai dang, Phaya ka pueak,] ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code--- ALDMA (Preferred name: Alocasia macrorrhizos.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ควีนส์แลนด์ หมู่เกาะโซโลมอน Alocasia macrorrhizos var. variegata เป็นคำพ้องความหมาย ของ Alocasia macrorrhizos สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Alocasia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อนจาก อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลีย และเกาะโซโลมอน นอกจากนี้ยังโอนสัญชาติทั่วโลกและได้รับการปลูกฝังกันอย่างแพร่หลาย ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นหัว เมื่ออายุมากขึ้นหัวจะโผล่พ้นดิน แตกหน่อใหม่รอบหัวหลักสูง1.5-2 เมตร ใบเดี่ยวเวียนเรียง ขนาดใหญ่ ขอบใบหยักมีลายด่างสีขาวสลับสีเขียวเทา ช่อดอกออกที่ซอกใบเป็นช่อเชิงลด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือร่มเงา 40-60% ชอบดินร่วนโปร่งระบายน้ำได้ดีและอุดมสมบูรณ์แม้ว่าจะสามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง pH ในช่วง 5.7 - 6.3 ทนได้ 5 - 7.3 ไม่พักตัวในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชไม่พักตัว การใส่ปุ๋ยใส่ปกติ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้พวกอโลคาเซียนิยมนำมาใช้จัดสวนบาหลีและสวนน้ำอย่างมาก ปลูกริมน้ำตกลำธารและนิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่ม รู้จักอันตราย---ต้นกระดาดจะมีสารจำพวกเรซินและ Protoanemonine ซึ่งเป็นพิษ และยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล
กระดาดดำ/Alocasia macrorrhizos 'Black Stem'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alocasia macrorrhiza 'Black Stem' ชื่อพ้อง --- No synonyms are recorded for this name ชื่อสามัญ---Black Stem Giant Taro, Black Stem Upright Elephant Ear Hybrid parentage---A. "Borneo Giant" x A. alba ชื่ออื่น---กระดาดดำ ; [THAI: Kradat dam.] ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code--- ALDSS (Preferred name: Alocasia sp.) Alocasia macrorrhiza 'Black Stem' เป็นหนึ่งในความหลากหลาย (Varieties) ของ Alocasia macrorrhizos สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) เป็นการผสมข้ามระหว่าง Alocasia macrorrhizos 'Borneo Giant' และ Alocasia alba ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อนจาก อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ควีนส์แลนด์ ในออสเตรเลีย และเกาะโซโลมอน นอกจากนี้ยังโอนสัญชาติทั่วโลกและได้รับการปลูกฝังกันอย่างแพร่หลาย ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวแบบเผือก สูงได้ถึง 2 เมตร ลำต้นสั้น ตั้งตรง สีม่วงปนสีน้ำตาล อวบน้ำ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่แกมรูปหัวใจกว้าง 25-60 ซม. ยาว 30-90 ซม. ใบหนา ขอบใบหยักเว้า ปลายใบชี้ขึ้น ก้านใบใหญ่อวบน้ำตั้งตรง มีเส้นใบ ใต้ใบ ขอบใบ และก้านใบสีเขียวอมม่วงดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือร่มเงา 40-60% ชอบดินร่วนโปร่งระบายน้ำได้ดีและอุดมสมบูรณ์แม้ว่าจะสามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง pH ในช่วง 5.7 - 6.3 ทนได้ 5 - 7.3 ไม่พักตัวในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชไม่พักตัว การใส่ปุ๋ยใส่ปกติ ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้พวกอโลคาเซียนิยมนำมาใช้จัดสวนบาหลีและสวนน้ำอย่างมาก ปลูกริมน้ำตกลำธารและนิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่ม รู้จักอันตราย---ต้นกระดาดจะมีสารจำพวกเรซินและ Protoanemonineซึ่งเป็นพิษและยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล
แก้วหน้าม้า/Alocasia sanderiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alocasia sanderiana W. Bull.(1885) ชื่อพ้อง--- Has 4 Synonyms ---Alocasia sanderi Pynaert.(1886) ---Schizocasia sanderiana (W. Bull) Engl.(1898) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:84242-1#synonyms Hybrids---Alocasia × amazonica ชื่อสามัญ---Sander's Alocasia, Kris- Plant, Philippine Taro, African mask plant ชื่ออื่น---แก้วหน้าม้า ;[INDONESIA: Pokok Keladi, Keris Hitam (Bahasa Melayu).];[GERMAN: Sanders Pfeilblatt .];[SWEDISH: Skelettsköld.];[THAI: Kaew naa maa.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---ALDSA (Preferred name: Alocasia sanderiana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'Sanderiana' ตั้งชื่อตาม Henry Frederick Conrad Sander (1847-1920) นักพืชสวน ชาวอังกฤษที่เกิดในเยอรมัน ; ชื่อสามัญเป็นที่รู้จักกันในชื่อ 'Kris Plant' เพราะความคล้ายคลึงกันของขอบใบกับใบมีดหยักของดาบ kalis (หรือที่เรียกว่า krisหรือkeris ) Alocasia sanderiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2428 ที่อยู่อาศัย เป็นพืชเฉพาะถิ่นของเกาะสองแห่งในฟิลิปปินส์ Bukidnon และ Misamis Occidental แม้ว่าพืชบางชนิดจะยังคงอยู่ในป่าทั้งในป่าปฐมภูมิและป่าทุติยภูมิในระดับความสูงที่ต่ำกว่า นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วโลก ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีเหง้าเป็นแนวตั้งยาว 15 ซม.หนา 2 ซม.ลำต้นตั้งตรงสูง 0.60- 2 เมตร ใบเดี่ยวรูปลูกศรแคบ (รูปตัว 'V') ขนาดยาว 40 ซม. x กว้าง 20 ซม.ก้านใบยาวถึง 60 ซม. ปลายใบแหลม ขอบหยักเว้าเป็นลอนลึกทั้งสองข้าง แผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันเส้นใบและขอบใบมีสีขาวเงินขนาดใหญ่เด่นชัด หลังใบสีม่วงแดง มีช่อดอกสีขาวครีมยาวประมาณ15 ซม.มีกาบสีเขียวและสีขาวปกคลุมดอกไม้เล็ก ๆ ดอกเพศเมียอยู่ที่ส่วนล่างของช่อดอก ในขณะที่ดอกเพศผู้อยู่ด้านบน ผลมีเนื้อสีแดงอมส้มออกเป็นกลุ่ม ไม่สามารถกินได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงทางอ้อมที่สว่าง ชอบดินร่วนโปร่งระบายน้ำได้ดีและอุดมสมบูรณ์แม้ว่าจะสามารถทนต่อดินได้หลายประเภท ไม่ชอบดินที่มีน้ำขัง pH ในช่วง 5.7 - 6.3 ทนได้ 5 - 7.3 การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า พักตัวในฤดูหนาว รดน้ำเท่าที่จำเป็น งดให้ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาใช้จัดสวนบาหลีและสวนน้ำอย่างมาก ปลูกริมน้ำตกลำธารและนิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่ม -ใช้เป็นยา ชนพื้นเมืองใช้ยาต้มจากพืชเพื่อรักษาอาการปวดหัว รู้จักอันตราย---มีสารจำพวกเรซินและ Protoanemonine ซึ่งเป็นพิษ และยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ภัยคุกคาม---เนื่องจากการเก็บรวบรวมจากป่าเพื่อการค้ามากเกิน สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List of Threatened Species 2008 ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต' มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคตอันใกล้ การเก็บเกี่ยวA. sanderianaนั้นผิดกฎหมายในฟิลิปปินส์ และมีโทษจำคุก หกถึงสิบปี และปรับ100,000 ถึง 1,000,000 เปโซ (ประมาณ 60,000-600,000 บาท) สถานะการอนุรักษ์---CR- CRITICALLY ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.(2008) ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล เพาะเนื้อเยื่อ
แก้วหน้าม้าตัวผู้/Alocasia longiloba
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alocasia longiloba Miq.(1856) ชื่อพ้อง---Has 25 Synonyms. ---Alocasia denudata Engl.(1879) ---Alocasia longifolia Engl & K.Krause.(1920) [Invalid] ---Alocasia lowii Hook.f.(1863) ---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-6770 ชื่อสามัญ---Kris plant, Elephant's Ear ชื่ออื่น---แก้วหน้าม้าตัวผู้, บอนนก ;[CHINESE: Jiàn yè hǎi yù.];[FRENCH: Oreille d'éléphant.];[GERMAN: Langes Pfeilblatt.];[INDONESIA: Keladi rimau.];[JAPANESE: Arokashiya rongiforiya.];[MALAYSIA: Dalip Payo, Telang Ubah (Kelabit); Keladi Birah (Bidayuh); Mayak Rarong, Tipang Ular (Iban); Keladi Candik, Keladi Muka Rusa(Malay).];[SWEDISH: Ödlesköld.];[THAI: Kaew naa maa tua phu, Bon nok.];[VIETNAM: Ráy lá dài.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---ALDLG (Preferred name: Alocasia longiloba.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Alocasia longiloba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ. 2399 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบในจีน (กวางตุ้ง ไหหลำ มณฑลยูนนาน) กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม พบในป่าดิบชื้นและใต้ต้นไม้ ในพื้นที่แอ่งน้ำและทางลาดที่มีการระบายน้ำดี บางครั้งอยู่บนโขดหิน ที่ระดับความสูง 0–500 เมตร พืชที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็น "โคลนนิ่ง" ที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและในบางกรณีอาจเป็นพันธุ์ผสมหลายชนิด Alocasia นี้สามารถมีรูปร่างได้หลากหลายเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูงประมาณ1.5 เมตร มีเหง้าตั้งตรง 8-60 × 2-8 ซม.ใบรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายหน้าของม้าขนาด 27-85 × 14-40 ซม.แผ่นใบหนาเป็นมัน สีเขียวบรอนซ์ เส้นร่องใบเห็นเด่นชัด ก้านเล็กกลมยาว30-120 ซม. มีลายขีดขวางสีน้ำตาลแดงทั่วก้าน ช่อดอกเดี่ยวหรือจับคู่ ก้านช่อดอก 8-18 ซม ผลไม้ทรงกลมรีสีเขียวสุกสีส้มแดงขนาด1.5 × 0.75 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า ชอบดินร่วนโปร่งอุดมสมบูรณ์ชอบน้ำปริมาณมากหากปลูกในดินที่ระบายน้ำได้เร็ว ต้องการดินที่ชื้นอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 20-30 ℃ อุณหภูมิต่ำกว่า 15 ℃ การเติบโตจะหยุดนิ่ง สามารถทนต่อดินได้หลายประเภท pH 5.7 - 6.3 ทนได้ 5 - 7.3 การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า พักตัวในฤดูหนาว รดน้ำเท่าที่จำเป็น งดให้ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ไวต่อการเน่าของรากและใบเหลือง เนื่องจากให้น้ำมากเกินไปหรือดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้พวกอโลคาเซียนิยมนำมาใช้จัดสวนบาหลีและสวนน้ำอย่างมาก ปลูกริมน้ำตกลำธารและนิยมนำมาปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่ม รู้จักอันตราย---มีสารจำพวกเรซินและ Protoanemonine ซึ่งเป็นพิษ และยังมีแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) อีกมาก ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบวมแดง ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แยกหน่อและไหล เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
|
สกุลโคโลคาเซีย/Colocasia Schott.
Colocasia เป็นสกุลของพืชดอกในครอบครัว Araceae มีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงใต้เอเชียและอนุทวีปอินเดีย บางชนิดมีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนอื่น ๆ พืชสกุลนี้มีการเจริญเติบโตคล้ายอโลคาเซียมาก ต่างกันที่ช่อดอกคือระหว่างดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ของอโลคาเซียถูกคั่นด้วยดอกที่เป็นหมัน ส่วนโคโลคาเซียไม่มีดอกที่เป็นหมันอยู่ระหว่างดอกเพศผู้และเพศเมีย มีการปลูกเลี้ยงง่ายเหมือนกัน ชอบความชื้นในอากาศสูง แสงแดดรำไรถึงครึ่งวัน มีโคโลคาเซียบางชนิดที่เจริญในน้ำและแตกไหลสำหรับขยายพันธุ์ได้ ชนิดที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ได้แก่
บอนเขียว/Colocasia esculenta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Colocasia esculenta (L.) Schott.(1832) ชื่อพ้อง---Has 72 Synonyms ---Basionym: Arum esculentum L.(1753) ---Caladium esculentum (L.) Vent.(1801) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1170772-2#synonyms ชื่อสามัญ---Chinese potato, Cocoyam, Dasheen, Taro, Wild taro, Green Taro, Elephant's ear ชื่ออื่น---บอนเขียว, บอนนา, บอนน้ำ, เผือก;[AFRIKAANS:Amadoembie.];[ARGENTINA: Colocasia, Taro, Yautia melendez.];[ASSAM: Kola-kochu, Kochu.];[BOLIVIA: Pituca.];[BRAZIL: Taio.];[CHINESE: Lao hu guang cai, Dong nan cai, Guang cai, Hong tu yu, Tai yu, Yu tou hua, Yu tou, Yu.];[CUBA: Malanga isleña, Oreja de elefante.];[FRENCH: Arum d'Egypte, Chou caraïbe, Choue-Chine, Colocasia antique, Dachine, Madère.];[GERMAN: Agyptisches Arum, Echte Blattwurz, Kolokasie, Yamswurzel.];[HAWAIIAN: Kalo.];[HINDI: Arvi, Kachalu,Ashukachu.];[INDIAN: Alu, Dasheen.];[INDONESIA: Keladi.];[ITALIAN: Aro d'Egitto, Fava d'Egitto, Pampini del paradiso, Taro, Trombe del paradiso.];[JAPANESE: Sato- imo.];[KOREAN: T'a ro t'o ran.];[MALAYSIA: Daun keladi, Talas (Malay).];[PALAUAN: Bisupsal.];[PHILIPPINES: Gabi, Lagbai(Tag.), Abalong (Bis., Tag.).];[PORTUGUESE: Inhame, Inhame-branco, Inhame-da-costa, Inhame-de-enxerto, Inhame-do-Egipto, Inhame-dos-Açores, Taro.];[RUSSIA: таро.];[SAMOAN: Talo.];[SANSKRIT: Alukam, Alupam, Aaluki, Kachchi.];[SPANISH: Aro, Chamol, Malanga, Ocumo chino, Quequeisque, Quiquisque, Tiquisque, Nampi.];[TAMIL: Sempu,Shamakkilangu.];[THAI: Bon, Bon naa, Bon nam, Bon khieo, Phueak.];[TURKISH: Gölevez.];[VIETNAMESE: Khoai môn, Khoai nước.];[ZULU: Amadumbe.] ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---CXSES (Preferred name: Alocasia longiloba.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---จีน ญี่ปุ่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Colocasia' มาจากคำภาษากรีก 'kolokasia' ใช้สำหรับรากของบัวหลวง ; ชื่อสายพันธุ์ 'esculenta' ในภาษาละตินหมายถึงการ "กิน" Colocasia esculenta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Colocasia พันธุ์ไม้ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในวงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ. 2375
Picture: https://plantasflores.com/colocasia-esculenta/ ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ อินโดจีน (เมียนมาร์ ไทย ลาว) มาเลเซีย (มาลายา สุมาตรา) จีน (รวมถึงไต้หวัน) และแปซิฟิก กระจายอยู่ทั่วไปในเขตร้อน แนะนำ (เพาะปลูก) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก และตอนเหนือ อินโดจีน (กัมพูชา เวียดนาม), มาเลเซีย (ชวา, สุลาเวสี), ญี่ปุ่น, เกาหลี, แอฟริกาตะวันตก (หลายประเทศจากเซเนกัลถึงแคเมอรูน), แอฟริกากลาง (จากซูดานถึงซิมบับเว), มาดากัสการ์, สหรัฐอเมริกา, ภาคกลาง อเมริกา แคริบเบียน อเมริกาใต้ (ยกเว้นโคนใต้) นิวกินี ออสเตรเลีย (ตะวันตก ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์) สามารถปลูกได้ที่ระดับความสูงถึง 2,700 เมตร ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค มักขึ้นเองตามที่ลุ่ม บนดินโคลน บริเวณริมน้ำลำธาร หรือบริเวณที่มีน้ำขังตื้น ๆ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวใต้ดินหัวมักยาวได้ถึง 30 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 ซม. ลำต้นตั้งตรงสูง 0.7-1.2 เมตร มีใบประมาณ 7-9 ใบ ใบเป็นรูปไข่แกมสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปหัวใจขนาด 40 × 24.8 ซม. แผ่นใบบางนุ่มเรียบ สีเขียว มีนวลปกคลุม เส้นใบสีเขียวอ่อน ก้านใบสีเขียวหรือออกม่วงยาว 0.8-1.2 เมตร ดอก สีครีมหรือเหลืองนวล ออกเป็นช่อ ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ดอกเพศเมียอยู่ตอนล่างมีใบประดับสีเหลืองรองรับ ผลสดรูปขอบขนานประมาณ 1× 0.7 ซม. มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนไม่มาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัดทนแสงได้ชอบดินที่ค่อนข้างหนักอุดมสมบูรณ์และกักเก็บความชื้นอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ เติบโตได้ในน้ำตื้น pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 4.3 - 8.2 การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ใช้ประโยชน์---พืชอาหารหลักที่สำคัญมากสำหรับชาวบ้านในท้องถิ่นมีประวัติการเพาะปลูกที่ยาวนานเป็นอาหารหลักในแอฟริกา,โอเชียเนียและเอเชียใต้ -ใช้กิน หัวใต้ดิน กินได้ เป็นแหล่งแป้งที่ดี เม็ดแป้งมีขนาดเล็กมากทำให้ย่อยง่ายและใช้ทำอาหารทารกที่กล่าวกันว่าไม่ทำให้เกิดภูมิแพ้ ลำต้นใช้ทำอาหาร เช่นแกงบอน ส่วนของบอนที่นำมาแกงคือยอดอ่อน หรือใบอ่อนของบอนที่อยู่ใกล้โคนต้น การใช้เป็นอาหาร ต้องนำมาปรุงให้สุกก่อนทุกครั้ง เพื่อช่วยดับพิษคันหรือช่วยทำลายผลึกของแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ที่มีอยู่มากในต้นบอน การเลือกเก็บบอนในธรรมชาติ จะมีทั้งบอนคันและไม่คัน ถ้าลำต้นสีน้ำตาลแดงเรื่อหรือสีเขียว ไม่มีนวลเกาะ เมื่อตัดทิ้งไว้สักครู่จะไม่มีคราบสีเขียวคล้ำเกิดขึ้น แสดงว่าเป็นบอนไม่คันส่วนชนิดที่มีสีซีดกว่า และนวลขาวกว่า เรียกว่า บอนคัน ไม่นิยมนำมาแกง -ใช้เป็นยา พืชมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและความดันเลือดต่ำ หัวใช้เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการเจ็บคอและเสียงแหบแห้ง ใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย หัวและน้ำจากก้านใบใช้เป็นยาห้ามเลือด น้ำคั้นจากก้านใบใช้เป็นยานวดแก้อาการฟกช้ำ ยางใช้เป็นยาช่วยกำจัดหูด รู้จักอันตราย--- น้ำยางและลำต้นหากสัมผัสผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคันและปวดแสบปวดร้อน แล้วต่อมาจะเกิดอาการอักเสบ บวมและพองเป็นตุ่มใส หากนำมาเคี้ยวหรือรับประทานสดจะทำให้เกิดอาการคันคออย่างรุนแรง ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---แยกหน่อ ไหล ปักชำหัว
คูน/Colocasia gigantea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Leucocasia gigantea (Blume) Schott.(1857) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Basionym: Colocasia gigantea (Blume) Hook.f.(1893) ---Caladium giganteum Blume.(1823) ---Arisaema fouyou H.Lév.(1914) ---Colocasia prunipes K.Koch & C.D.Bouché.(1855) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:87427-1#synonyms ชื่อสามัญ---Giant elephant ear, Indian taro ชื่ออื่น---คูน, ตูน, กระดาดขาว, เมาะขาว (ปัตตานี); หัวชะออกขาว, ออกดิบ (ใต้); กะเอาะขาว (ชุมพร); ผักบุก (เหนือ) ;[CHINESE: Da Ye yu.];[JAPANESE: Ryukyu, Hasu-imo, Tsuimo.] ;[MALAY: Lambok , Keladi ulam.];[THAI: Aukdip,Toon, Khoon.];[VIETNAM: Dọc mùng, Bạc hà.] ;[CHINESE: Da Ye yu.];[GERMAN: Zehrwurz.];[JAPANESE: Ryukyu, Hasu-imo, Tsuimo.] ;[MALAYSIA: Lambok , Keladi ulam (Malay).];[THAI: Aukdip,Toon, Khoon.];[VIETNAM: Dọc mùng, Bạc hà.] ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---CXSGI (Preferred name: Leucocasia gigantea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'gigantea' หมายถึงขนาดยักษ์ของพืชชนิดนี้ Leucocasia gigantea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2400 Colocasia gigantea (Blume) Hook.f. เป็นคำพ้องความหมายของสายพันธุ์นี้ มันถูกอธิบายครั้งแรกโดยใช้ชื่อนั้นโดย Joseph Dalton Hookerใน The Flora of British India ในปี 1893
Picture: https://jardin-secrets.com/colocasia-gigantea.html ที่อยู่อาศัย พบใน จีน(ฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กวางสี เจียงซี ยูนนาน) บังคลาเทศ เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เติบโตบริเวณภูเขาตอนล่างในที่ร่มและชื้นที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตร ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวใต้ดิน ลักษณะ คล้ายต้นกระดาดขาวแต่ต้นเล็กกว่า ลักษณะต้นสูงประมาณ0.90-1.5 เมตร ใบรูปหัวใจป้อม กว้าง45ซม.ยาว65ซม.ขอบใบเป็นลอน ก้านใบยาว60-90ซม.สีเขียวอ่อน มีนวลปกคลุมทั้งต้น ดอกคล้ายดอกหน้าวัว เป็นแท่งสีขาวหรือส้ม ออกเป็นช่อ กาบหุ้มดอกสีเขียวหรือขาว ผลมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานยาวประมาณ 10 มม.มีกลิ่นหอมกินได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในร่มที่มีแสงแดดส่องทางอ้อม ทนต่อแสงแดดได้โดยตรง แต่จะมีแนวโน้มที่จะถูกแดดเผาแม้ว่ามันอาจจะเคยชินเมื่อเวลาผ่านไป ชอบดินที่ค่อนข้างหนักอุดมสมบูรณ์และกักเก็บความชื้นอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ เติบโตได้ในน้ำตื้น pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 4.3 - 8.2 การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---อ่อนแอต่อเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารในท้องถิ่น มักปลูกเป็นไม้ประดับในสภาพอากาศที่อบอุ่นบางครั้งก็ปลูกเป็นพืชอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -ใช้กิน ลำต้นใบนำมาปรุงกินเป็นผัก ก้านใบใช้เป็นผักในบางพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่น ผลใช้เป็นเครื่องปรุง การใช้เป็นอาหาร ต้องนำมาปรุงให้สุกก่อนทุกครั้ง เพื่อช่วยดับพิษคันหรือช่วยทำลายผลึกของแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ที่มีอยู่มาก -ใช้เป็นยา ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษาโรคในประเทศจีนและเวียดนาม มีสารซาโปนินซึ่งถือว่ามีผลต่อความสุขทางเพศ -ใช้ปลูกประดับ ให้ทัศนียภาพเขตร้อนที่โดดเด่น ควรอยู่ในพื้นที่ที่สามารถรองรับการเติบโตได้มาก เหมาะสำหรับปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มตามขอบบ่อแอ่งน้ำหรือในพื้นที่ชื้นรอบ ๆ ลานบ้าน อาจปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ รู้จักอันตราย--- น้ำยางและลำต้นหากสัมผัสผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคันและปวดแสบปวดร้อน แล้วต่อมาจะเกิดอาการอักเสบ บวมและพองเป็นตุ่มใส หากนำมาเคี้ยวหรือรับประทานสดจะทำให้เกิดอาการคันคออย่างรุนแรง พืชมีไฮโดรเจนไซยาไนด์ในปริมาณเล็กน้อยได้รับการแสดงเพื่อกระตุ้นการหายใจและปรับปรุงการย่อยอาหารนอกจากนี้ยังอ้างว่ามีประโยชน์ในการรักษามะเร็ง อย่างไรก็ตามส่วนเกินอาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและถึงขั้นเสียชีวิตได้ ระยะออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด แบ่งหัว
|
ถุงเงินถุงทอง/Xanthosoma 'albomarginata'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Xanthosoma sagittifolium (L.) Schott ‘Albomarginata’ ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Xanthosoma atrovirens albomarginata ---Xanthosoma 'Albo Variegata' ---Xanthosoma sagittifolium 'Variegatum Monstrosum' ชื่อสามัญ---Mickey Mouse Taro, Mouse Cup, Pocket Plant, Arrow Leaf Elephant Ear 'Albo Marginata', ชื่ออื่น---ถุงเงิน ถุงทอง ;[MAORI: Malanga.];[SWAHILI: Yautia.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---XATSA (Preferred name: Xanthosoma sagittifolium.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---- อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก 'xanthos' = สีเหลืองและ 'soma' = ร่างกายโดยอ้างอิงถึงเนื้อเยื่อชั้นในสีเหลืองในบางสายพันธุ์ ; ชื่อสปีซี่ส์ 'sagittifolium' หมายถึง ใบลูกศร Xanthosoma sagittifolium ‘Albomarginata’ เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Xanthosoma sagittifolium สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ในสกุล Xanthosoma ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ 2375 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบางส่วนของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวอยู่ใต้ดิน ต้นสูง 80 – 120 ซม.ใบเดี่ยว รูปหัวใจ แต่มักบิดเบี้ยว ใบสีเขียวเข้ม มีขอบที่แตกต่างกันและมีลวดลายต่างๆ ที่เมื่อเริ่มแรกเป็นสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสีขาว ลักษณะที่น่าสนใจที่สุดประการหนึ่งของพืชชนิดนี้คือ ใบส่วนใหญ่จะพัฒนาเป็นกระเป๋าเล็กๆ ที่ปลายใบคล้ายถ้วย และบางครั้งจะเกิดโครงสร้างคล้ายเชือกเล็กๆ ดอกออกเป็นช่อเชิงลดจากซอกกาบใบ ดอกสีเหลืองใบประดับสีเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอม อย่างไรก็ตาม ดอกไม้มีการผลิตไม่บ่อยนักผล และเมล็ด ไม่ค่อยพบในการเพาะปลูก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในที่ร่มรำไรหรือแสงแดดทางอ้อม ถึงแม้จะทนแดดจัดได้ แต่อาจเกิดใบไหม้ อุณหภูมิที่เหมาะสม 18°C – 24°C และไม่ต่ำกว่า 15ºC ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ ไม่ชอบดินเหนียวหนัก ค่า pH ในช่วง 5.5 - 7 ทนได้ 4.5 - 7.8 ต้องการความชื้นสูงสามารถปลูกริมน้ำได้ อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง ลอกใบเหลืองที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำเจือจางทุกสัปดาห์ (4ครั้งต่อเดือน) หรือปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้าทุก2เดือน ในฤดูหนาว เนื่องจากพืชพักตัว ให้ลดการรดน้ำ และลดการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ตกแต่งภายในเป็นไม้ในร่มที่มีใบสวยงาม ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคล เป็นว่านทางเสน่ห์เมตตามหานิยม ทำให้ค้าขายดี เก็บเงินเก็บทองได้มาก รู้จักอันตราย---ทุกส่วนของพืชมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต สารนี้เป็นพิษสดและหากรับประทานเข้าไปจะทำให้ปากลิ้นและลำคอเกิดอาการคันอย่างรุนแรง น้ำยางและลำต้นหากสัมผัสผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคันและปวดแสบปวดร้อน ต่อมาจะเกิดอาการอักเสบ บวมและพองเป็นตุ่มใส ขยายพันธุ์---แยกเหง้า
กวักมรกต/Zamioculcas zamiifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Zamioculcas zamiifolia (Lodd.) Engl.(1905) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Caladium zamiifolium G.Lodd.(1829) ---Zamioculcas lanceolata Peter(1929) ---Zamioculcas loddigesii Schott (1856) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-215525 ชื่อสามัญ---Zanzibar gem, Emerald plant, Eternity plant, Zuzu plant, Zee Zee plant, ZZ plant. ชื่ออื่น---กวักมรกต ;[CHINESE: Jin qian shu.];[CROATIA: Zamija.];[FRENCH: Plante ZZ.];[GERMAN: Irreführend Zamie, Kartonpapier-Palme.];[HUNGARIAN: Zaminak, Zámiának, ZZ-pálmának.];[ITALIAN: Zamioculcas, Gemma di Zanzibar.];[LITHUANIAN: Zamiokulkas.];[POLISH: Zamiokulkas zamiolistny.];[PORTUGUESE: ZZ, Zamioculcas.];[SPANISH: Zamioculcas.];[SWEDISH: Zamiakalla, Garderobsblomma.];[THAI: Kwak morakot.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---ZMCZA (Preferred name: Zamioculcas zamiifolia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---เคนย่า, แทนซาเนีย,โมซัมบิก,ซิมบับเว,มาลาวี,แอฟริกาใต้ (นาตาล)และแซนซิบาร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Zamioculcas' มาจากความคล้ายคลึงกันผิวเผิน กับใบปรงสกุลZamia และ ในทางกลับกัน มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับ Araceae สกุล Colocasia ซึ่งมีชื่อมาจากคำว่า “ culcas ” หรือ “ colcas ” (ในภาษาถิ่นตะวันออกกลางโบราณ) Zamioculcas zamiifolia เป็นสายพันธุ์พืชดอกในวงศ์บอน (Araceae) เป็น Monotypic มีเพียงสายพันธุ์เดียวในสกุล Zamioculcas ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Conrad Loddiges (1738–1826) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันจาก Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2448 Cultivars---Zamioculcas zamiifolia 'Zenzi' ---Zamioculcas zamiifolia 'Raven' ---Zamioculcas zamiifolia 'Super Nova' ที่อยู่อาศัย พืขเฉพาะถิ่นในแอฟริกาเขตร้อนตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้;เคนย่า,แทนซาเนีย,โมซัมบิก,ซิมบับเว,มาลาวี,แอฟริกาใต้ (นาตาล)และแซนซิบาร์ เติบโตในป่าดิบชื้นถึงแห้ง ทุ่งหญ้า ไม้พุ่มไม้ มักอยู่บนโขดหินที่อุดมสมบูรณ์ในท้องถิ่น ลักษณะ ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีเนื้อไม้แข็งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง3–4 ซม. หรือมากกว่า ยาว5-8 ซม.แตกกอง่ายและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สูงประมาณ 40-70 ซม. แทงใบออกเหนือดิน ก้านใบอวบน้ำสีเขียวมีจ้ำตามขวางสีเข้ม ยาว 15-35 ซม. ใบประกอบแบบขนนก ยาว 20-40 ซม. ใบย่อยด้านละ 4-8 ใบ ผิวใบแข็งเป็นมัน ดอกออกเป็นแท่ง ดอกมีขนาดเล็กสีเหลืองสดถึงน้ำตาลหรือบรอนซ์ยาว 5-7 ซม. ยาว 5-7 ซม. บางส่วนซ่อนอยู่ตามฐานใบ ก้านช่อดอกยาว 3-20 ซม. ผลมีเนื้อขนาด1.2ซม.มีเมล็ด 1-2 เมล็ด เมล็ดสีน้ำตาลรูปรียาว 0.8 ซม. 0.5 ซม.มักไม่พบในการเพาะปลูก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงสว่างทางอ้อม แดดจัดเป็นบางส่วนในตอนเช้า ทนต่อแสงในระดับต่ำได้ดีกว่าพืชไม้ใบอื่น ๆ แสงแดดไม่เพียงพอสามารถระบุได้ด้วยความยาวของใบและ/หรือร่วงหล่น เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ( chlorosis) ใช้ดินผสมทรายแกลบดำมีความเป็นกรดต่ำ ระบายน้ำได้ดี ทนต่อความแห้งแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบที่หมดอายุทิ้ง การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสองครั้งต่อเดือนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่ปล่อยช้า หรือปุ๋ยละลายน้ำเจือจาง พืชพักตัวในฤดูหนาวไม่ต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---เนื่องจากการมีสารพิษในเซลล์ ทำให้พืชแทบไม่ได้รับผลกระทบจากแมลงศัตรูพืช/ อาจเกิด Bidens mottle ไวรัส (BiMoV) ลวดลายโมเสคที่อยู่บนใบของพืชที่ติดเชื้อ และการบิดเบี้ยวทางใบ โคนก้านใบ และรากเน่าและใบเหลือง ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องดึงต้นพืชออกจากกระถางอย่างระมัดระวัง ขจัดรากที่เน่าเปื่อยและโรยบาดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ถ่านกัมมันต์ (activated carbon) ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใช้ในการแพทย์แผนโบราณในเขต Mulanje ของมาลาวีและในเทือกเขา Usambara ตะวันออกของแทนซาเนีย โดยใช้น้ำใบสำหรับแก้อาการปวดหู ยาพอกของพืชใช้สำหรับการรักษาสภาพการอักเสบและเพื่อรักษาบาดแผล -ใช้ปลูกประดับ เป็นพืชไม้ใบที่สำคัญสำหรับการตกแต่งภายใน รายงานล่าสุดในสื่อและการส่งเสริมการขายโดยอุตสาหกรรมไม้กระถางประดับตกแต่งระบุลักษณะของพืชว่าเป็น "เครื่องฟอกอากาศจากธรรมชาติ" โดยอ้างว่างานวิจัยขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) แสดงให้เห็นว่าพืชสามารถกำจัดมลพิษทางอากาศภายใน ในขณะที่ความจริงแล้วพืชกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศและความสามารถของพืชในการกำจัดสารมลพิษอื่น ๆออกจากน้ำเป็นพื้นฐานสำหรับวิธีการควบคุมมลพิษบางอย่าง การวิจัยส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้ห้องขนาดเล็กที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนอากาศซึ่งทำให้การคาดการณ์สภาพแวดล้อมในโลกแห่งความเป็นจริงมีความไม่แน่นอนอย่างมากการศึกษาเฉพาะการใช้พืชเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศภายในอาคารในอาคารจริงไม่สามารถระบุประโยชน์ใดๆจากการใช้พืชได้ในทางปฏิบัติในการควบคุมมลพิษดูเหมือนจะไม่สำคัญเมื่อเทียบกับการระบายอากาศทั่วไปกล่าวอีกนัยหนึ่งความสามารถของพืชในการปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารนั้นมีจำกัดเมื่อเทียบกับการระบายอากาศที่เพียงพอ ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ในประเทศจีนปลูกเป็นไม้มงคล (เรียกอีกอย่างว่าต้นเงิน) และส่วนใหญ่ขายเพื่อประดับในช่วงปีใหม่ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ระยะออกดอก---ตั้งแต่กลางฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์--- โดยการแยกหน่อปลูก ปักชำต้นและใบ โดยตัดใบมาชำในน้ำเมื่อรากงอกออกมาสักระยะหนึ่งก็นำไปปักชำในดิน
|
สกุลอิพิเพรมนุม/Epipremnum Schott
Epipremnum เป็นสกุลของพืชดอกในครอบครัว Araceae พบในเขตร้อนป่าจากประเทศจีนที่เทือกเขาหิมาลัยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังออสเตรเลียตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก สกุลนี้เป็นไม้เลื้อย ไต่เลื้อยโดยใช้รากอากาศ พวกเขาอาจจะสับสนกับ Monstereae เช่น Rhaphidophora , ScindapsusและAmydriumใบจะแตกต่างไปตามอายุ ใบรูปไข่ หรือรูปขอบขนานแกมใบหอกกลับ แผ่นใบหนา ช่อดอกสมบูรณ์เพศ กาบรองดอกช่อ สีเหลือง สีเขียว หรือ ม่วงแดง ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดรำไร ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำลำต้น ต่อไปนี้เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกัน
พลูด่าง/Epipremnum aureum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Epipremnum aureum (Lindl. & Andre) G.S.Bunting.( 1964) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Basionym: Pothos aureus Linden & Andréใ(1880) ---Scindapsus aureus (Linden & André) Engl.(1908) ---Epipremnum mooreense Nadeaud .(1899) ---Rhaphidophora aurea (Linden & André) Birdsey.(1963) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:87014-1#synonyms ชื่อสามัญ---Devil's Ivy, Pothos, Hunter's Robe, Money Plant ชื่ออื่น---พลูด่าง ;[FRENCH: Arum grimpant, Liane du diable, Pothos dore, Scindapsus dore.];[GERMAN: Goldene Efeutute, Efeutu-te, ];[PORTUGUESE: Jiboia-verde, Planta-do-dinheiro, Trepdiera-de-tonga.];[SPANISH: Ecindapso, Poto, Potos, Potus.];[SWEDISH: Gullranka.];[THAI: Phlu dang.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---EPJSS (Preferred name: Epipremnum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ฮาวาย และ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ออสเตรเลีย เฟรนช์โปลินีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อขอวสกุลเป็นการรวมคำของภาษากรีก 'epi' = over ' และ 'premnum' = stem โดยอ้างอิงถึงลักษณะการเลื้อยไต่ของมัน ; ชื่อสปีซี่ส์ เป็นภาษาละติน 'aureum' = สีทองหมายถึงความแตกต่างของใบไม้สีเหลือง Epipremnum aureum ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [John Lindley(1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ Eduard-Francois Andre (1840-1911) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส] ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Sydney Bunting (1927 – 2015) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2507 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน Mo'orea ในหมู่เกาะ Society Islands ของเฟรนช์โปลินีเซีย ได้รับสัญชาติในป่าเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก รวมถึงแอฟริกาใต้ตอนเหนือ ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ หมู่เกาะแปซิฟิก และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยลำต้นสีเหลืองอมเขียวเกาะอยู่ตามลำต้นของต้นไม้อื่นโดยใช้รากอากาศ เมื่อยังเล็กใบรูปไข่ ยาว 5-20 ซม.โคนใบรูปหัวใจสีเขียว มีลายด่างสีเหลือง ขาว ไม่สม่ำเสมอ เมื่อโตเต็มที่ใบจะใหญ่ขึ้นและหยักเว้าเป็นรอยฉีก ยาวได้ถึง 70-90 ซม.กว้าง 40-45 ซม.ก้านใบสั้น พืชไม่ค่อยออกดอกและสิ่งนี้ทำให้การจำแนกทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยาก จะไม่ค่อยออกดอกโดยไม่มีอาหารเสริมฮอร์โมนเทียม มีรายงานการออกดอกตามธรรมชาติครั้งล่าสุดในการเพาะปลูกในปี 2507 ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ปลูกได้ในพื้นที่เปิดโล่งในเขตร้อนขื้นและกึ่งเขตร้อนปลูกได้ทั้งในที่ร่มและมีแสงแดด ต้องการดินร่วนระบายน้ำดี ปรับตัวเข้ากับทุกสภาพ สามารถปลูกในน้ำ การเจริญเติบโตเร็ว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบที่หมดอายุทิ้ง กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ทุกๆสองสัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำมาตรฐาน และต้องปลูกใหม่ทุกสองปี ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชร้ายแรง เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งอาจเป็นปัญหาในบางครั้ง/การตัดสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคใบ Erwinia โรคใบจุด โรคใบไหม้ ไวต่อการเน่าของรากและ botrytis ผ่านการรดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืขร่มที่ปลูกกันมากหรือเป็นพืชตลุมดินในตำแหน่งแสงแดดกรอง ใช้เป็นไม้กระถางแขวนหรือใช้เป็นไม้เลื้อยขึ้นไม้ระแนง หรือฉากพรางตา -พืชสามารถขจัดมลพิษในร่ม เช่น formaldehyde, trichloroethene, toluene, xylene และbenzene ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ (เช่น ห้องที่ปิดสนิท) -พืชชนิดนี้บางครั้งใช้ในตู้ปลา และปล่อยให้รากงอกในน้ำ สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อพืช และaquariumสัตว์น้ำ เนื่องจากดูดซับไนเตรตจำนวนมากและใช้เพื่อการเจริญเติบโต รู้จักอันตราย---พืชดังกล่าวเป็นพิษต่อแมวและสุนัขโดย ASPCA เนื่องจากมีราไฟด์ที่ไม่ละลายน้ำ ควรใช้ความระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าพืชจะไม่ถูกสัตว์เลี้ยงกิน อาการต่างๆ อาจรวมถึงการระคายเคืองในช่องปาก อาเจียน และกลืนลำบาก เนื่องจากแคลเซียมออกซาเลตในพืชสามารถเป็นพิษต่อมนุษย์ได้เล็กน้อยเช่นกัน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภค E. aureum คือโรคผิวหนังภูมิแพ้ (กลาก) เช่นเดียวกับการเผาไหม้และ/หรืออาการบวมของบริเวณด้านในและรอบปาก การสัมผัสกับพืชมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังทั่วไปหรือผิวหนังอักเสบได้ ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำลำต้น ในดินหรือในน้ำ
พลูราชินีสีทอง/Epipremnum aureum 'Neon'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Epipremnum aureum (Lind. & Andre ) G.S. Bunting cv. Neon ชื่อพ้อง---Epipremnum aureum 'Neon' ---Epipremnum pinnatum Aureum ---Scindapsus Aureus หรือ Phaphidophora aureu ชื่อสามัญ---Golden pothos, Devil’s ivy, Ceylon Creeper. ชื่ออื่น---พลูราชินีสีทอง, พลูทอง ;[THAI: Phlu Rachini Si-thong, Phlu thong.] ชื่อวงศ์--- ARACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ฮาวาย และ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก เฟรนช์โปลินีเซีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อขอวสกุลเป็นการรวมคำของภาษากรีก 'epi' = over ' และ 'premnum' = stem โดยอ้างอิงถึงลักษณะการเลื้อยไต่ของมัน ; ชื่อสปีซี่ส์ เป็นภาษาละติน 'aureum' = สีทองหมายถึงความแตกต่างของใบไม้สีเหลือง Epipremnum aureum 'Neon' เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Epipremnum aureum สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ในสกุล Epipremnum ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะโซโลมอน ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยลักษณะคล้ายพลูด่าง อายุหลายปี ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นหรือมีรากเกาะพันกับต้นไม้ใหญ่หรือเสาหลักอื่นๆ เมื่อแก่มีเนื้อไม้ กิ่งก้านสีเขียวอ่อนอมเหลือง ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมรูปหัวใจ กว้าง 5-30 ซม. ยาว 7-45ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา อวบน้ำสีเขียวอมเหลืองสดใส ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด มีกาบหุ้ม ดอกไม้และผลไม้ขนาดเล็ก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ปลูกได้ในพื้นที่เปิดโล่งในเขตร้อนขื้นและกึ่งเขตร้อนปลูกได้ทั้งในที่ร่มและมีแสงแดด ต้องการดินร่วนระบายน้ำดี ปรับตัวเข้ากับทุกสภาพ สามารถปลูกในน้ำ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ทุกๆสองสัปดาห์ด้วยปุ๋ยน้ำมาตรฐาน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชร้ายแรง เพลี้ยไฟและเพลี้ยแป้งอาจเป็นปัญหาในบางครั้ง/การตัดสามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคใบ Erwinia โรคใบจุด โรคใบไหม้ ไวต่อการเน่าของรากและ botrytis ผ่านการรดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืขร่มที่ปลูกกันมากหรือเป็นพืชตลุมดินในตำแหน่งแสงแดดกรอง ใช้เป็นไม้กระถางแขวนหรือใช้เป็นไม้เลื้อยขึ้นไม้ระแนง หรือฉากพรางตา พิธีกรรมความเชื่อ---ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลเสริมบารมีและคุ้มครองคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นไม้มงคลประจำคนเกิดวันจันทร์ และ วันพุธ และ ชาวราศีตุลย์ รู้จักอันตราย---พืชดังกล่าวเป็นพิษต่อแมวและสุนัข สามารถเป็นพิษต่อมนุษย์ได้เล็กน้อยเช่นกัน ขยายพันธุ์ ---ในน้ำหรือดินโดยการปักชำลำต้น
พลูราชินีหินอ่อน/Epipremnum aureum cv. Marble Queen
ชื่อวิทยาศาสตร์---Epipremnum aureum (Lindl. & Andre) G.S. Bunting cv. Marble Queen ชื่อพ้อง---Epipremnum aureum 'Marble Queen' ชื่อสามัญ---Marble Queen Pothos, Pothos 'Marble Queen' ชื่ออื่น---พลูด่าง, พลูราชินีหินแอ่อน ; [THAI: Phlu dang, Phlu Rachini hin on.] ชื่อวงศ์--- ARACEAE EPPO Code---EPJSS (Preferred name: Epipremnum sp.) ถิ่นกำเนิด---เฟรนช์โปลินีเซีย เขตกระจายพันธุ์--ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ฮาวาย และ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อขอวสกุลเป็นการรวมคำของภาษากรีก 'epi' = over ' และ 'premnum' = stem โดยอ้างอิงถึงลักษณะการเลื้อยไต่ของมัน ; ชื่อสปีซี่ส์ เป็นภาษาละติน 'aureum' = สีทองหมายถึงความแตกต่างของใบไม้สีเหลือง Epipremnum aureum 'Marble Queen' เป็นการกลายพันธุ์ของ Epipremnum aureum สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ในสกุล Epipremnum ราชินีหินอ่อนบางครั้งเปลี่ยนกลับ การกลับคืนสู่สภาพเดิมหมายถึงพืชสูญเสียความแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงและเติบโตได้เฉพาะสีเขียวบนใบของมันเท่านั้น Marble Queens เปลี่ยนกลับทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อแสงน้อยเกินไปและเมื่อเซลล์กลายพันธุ์ลดลงในพืช Marble Queen Pothos เป็นการแสดงออกถึงความ แตกต่าง ของChimeric การกลายพันธุ์แบบคิเมริกเป็นการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมในเซลล์พืชที่ทำให้เซลล์พืชบางชนิดเติบโตซึ่งไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เซลล์เหล่านี้เติบโตไปพร้อมกับเซลล์ปกติที่สร้างคลอโรฟิลล์บนใบและลำต้นของพืช ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดคือ Society Islands (Moorea) ลักษณะ คล้ายพลูด่าง อายุหลายปี ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นหรือมีรากเกาะพันกับต้นไม้ใหญ่หรือเสาหลักอื่นๆ เมื่อแก่มีเนื้อไม้ กิ่งก้านสีเขียวอ่อนอมเหลือง ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมรูปหัวใจ กว้าง 5-30 ซม. ยาว 7-45ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาอวบน้ำมีลายด่างสีขาว เขียว คล้ายหินอ่อน ก้านใบอาจมีสีขาวและมีแถบสีเขียวตามแนวยาว ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด มีกาบหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ปลูกได้ในพื้นที่เปิดโล่งในเขตร้อนขื้นและกึ่งเขตร้อนปลูกได้ทั้งในที่ร่มและแสงแดดที่ส่องสว่างและกรองแสง ไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง ต้องการดินร่วนระบายน้ำดี ไม่ชอบดินเหนียวหนักจะกลายเป็นน้ำขังอย่างรวดเร็วและนำไปสู่โรครากเน่า อย่างไรก็ตามดินที่มีน้ำหนักเบาและมีทรายมากเกินไปจะไม่ทำให้รากชุ่มชื้น ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งบางส่วนเพื่อป้องกันโรครากเน่าและน้ำมากเกินไป การใส่ปุ๋ย ---1ครั้ง/เดือน ในช่วงฤดูปลูก ปุ๋ยที่เจือจางจะช่วยชดเชยการขาดแร่ธาตุที่สามารถพัฒนาในดินของพืชได้ อย่าลืมงดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว โรคพืช/ศัตรูพืช---เพลี้ยแป้งเป็นศัตรูพืชที่พบบ่อยที่สุดซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต สามารถสังเกตเห็นสัญญาณของเพลี้ยแป้งซึ่งมีขนาดเล็กเหมือนฝ้ายที่ลำต้นและใบของพืช สามารถกำจัดศัตรูพืชในร่มเหล่านี้ได้โดยใช้ก้านสำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดใบและลำต้นที่เกิดโรค ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืขร่มที่ปลูกกันมากหรือเป็นพืชตลุมดินในตำแหน่งแสงแดดกรอง ใช้เป็นไม้กระถางแขวนหรือใช้เป็นไม้เลื้อยขึ้นไม้ระแนง หรือฉากพรางตา รู้จักอันตราย---พืชดังกล่าวเป็นพิษต่อแมวและสุนัข สามารถเป็นพิษต่อมนุษย์ได้เล็กน้อยเช่นกัน ขยายพันธุ์---ในน้ำหรือดินโดยการปักชำลำต้น
พลูด่างสามสี/Epipremnum aureum cv.'N' Joy'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Epipremnum aureum (Lindl. & Andre)G.S Bunting cv. ' N' Joy' ชื่อพ้อง---Epipremnum aureum 'Pearls and Jade' ---Epipremnum aureum ' N' Joy' ชื่อสามัญ---'NJoy' Pothos , NJoy Pothos, Devil's Ivy, Hunter's Robe, Ceylon Ivy Creeper ชื่ออื่น---พลูด่างสามสี ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---EPJSS (Preferred name: Epipremnum sp.) ถิ่นกำเนิด---เฟรนช์โปลินีเซีย เขตกระจายพันธุ์--ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล บังคลาเทศ ฮาวาย และ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อขอวสกุลเป็นการรวมคำของภาษากรีก 'epi' = over ' และ 'premnum' = stem โดยอ้างอิงถึงลักษณะการเลื้อยไต่ของมัน ; ชื่อสปีซี่ส์ เป็นภาษาละติน 'aureum' = สีทองหมายถึงความแตกต่างของใบไม้สีเหลือง Epipremnum aureum ' N' Joy' เป็นการกลายพันธุ์ของ Epipremnum aureum สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ในสกุล Epipremnum ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดคือ Society Islands (Moorea) ลักษณะ คล้ายพลูด่าง อายุหลายปี ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นหรือมีรากเกาะพันกับต้นไม้ใหญ่หรือเสาหลักอื่นๆ เมื่อแก่มีเนื้อไม้ กิ่งก้านสีเขียวอ่อนอมเหลือง ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมรูปหัวใจ กว้าง 5-30 ซม. ยาว 7-45 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเว้า ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาอวบน้ำสีเขียวมีลายด่างสีขาวไม่มีสีเหลืองปน ก้านใบเขียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ปลูกได้ในพื้นที่เปิดโล่งในเขตร้อนขื้นและกึ่งเขตร้อนปลูกได้ทั้งในที่ร่มและแสงแดดที่ส่องสว่างและกรองแสง ไม่ควรถูกแสงแดดโดยตรง ต้องการดินร่วนระบายน้ำดี ไม่ชอบดินเหนียวหนักจะกลายเป็นน้ำขังอย่างรวดเร็วและนำไปสู่โรครากเน่า อย่างไรก็ตามดินที่มีน้ำหนักเบาและมีทรายมากเกินไปจะไม่ทำให้รากชุ่มชื้น ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งบางส่วนเพื่อป้องกันโรครากเน่าและน้ำมากเกินไป การใส่ปุ๋ย ---1ครั้ง/เดือน ในช่วงฤดูปลูก ปุ๋ยที่เจือจางจะช่วยชดเชยการขาดแร่ธาตุที่สามารถพัฒนาในดินของพืชได้ งดใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว โรคพืช/ศัตรูพืช---เพลี้ยแป้งเป็นศัตรูพืชที่พบบ่อยที่สุดซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต สามารถสังเกตเห็นสัญญาณของเพลี้ยแป้งซึ่งมีขนาดเล็กเหมือนฝ้ายที่ลำต้นและใบของพืชสามารถกำจัดศัตรูพืชในร่มเหล่านี้ได้โดยใช้ก้านสำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดใบและลำต้นที่เกิดโรค ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพืขร่มที่ปลูกกันมากหรือเป็นพืชตลุมดินในตำแหน่งแสงแดดกรอง ใช้เป็นไม้กระถางแขวนหรือใช้เป็นไม้เลื้อยขึ้นไม้ระแนง หรือฉากพรางตา รู้จักอันตราย---พืชดังกล่าวเป็นพิษต่อแมวและสุนัข สามารถเป็นพิษต่อมนุษย์ได้เล็กน้อยเช่นกัน ขยายพันธุ์---ในน้ำหรือดินโดยการปักชำลำต้น
พลูฉีกใบยาว/Epipremnum pinnatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Epipremnum pinnatum (L. ) Engl.(1908) ชื่อพ้อง---Has 45 Synonyms. ---Basionym: Pothos pinnatus L.(1763) ---Rhaphidophora pinnata L Schott. (1857) ---Monstera pinnata (L.) Schott.(1830). ---Scindapsus pinnatus (L.) Schott.(1832). ---Philodendron pinnatum (L.) André.(1866). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:87046-1#synonyms ชื่อสามัญ---Centipede tonga vine, Tonga vine, Dragon-tail plant, Variegated-philodendron, Pothos, Variegated pothos, Solomon Islands ivy arum, Money-plant. ชื่ออื่น---พลูฉีกใบยาว, งด, งดเขา, เถานางรอง ;[AUSTRALIA: Monstera, Native monstera.];[CHINESE: Līn shù téng, Long wei coa, Qi lin ye, Qí lín yè shǔ.];[CUBA: Malanga trepadora, Malanguita.];[FIJI: Wa yalu, Alu, Naca, Yalu.];[FRENCH: Lierre du diable, Pothos doré, Pothos à feuilles tachées de jaune.];[GERMAN: Buntes Herzblatt, Efeutute, Gefleckte Efeutute, Goldranke.];[JAPANESE: Habukazura, Potosu, Ogonkazura.];[INDIA: Panniperandi.];[INDONESIA: Lolo munding, Jalu mampang, Samblung ; Jalu mampang (Java).];[MALAYSIA: Kelampanyan.];[MAORI: 'Ara.];[MICRONESIA: Selkasohlap.];[NEW GUINEA: Galogalomi, Galgalut, Gareggi.];[PHILIPPINES: Amlong, Dukup, Garban, Takoline, Takotin, Tibatib.];[PORTUGUESE: Jibóia, Taro-trepador.];[SAMOA: Fue lau fao.];[SINGAPORE: Long Wei Cao.];[SOUTH AFRICA: Silver vine.];[SPANISH: Bejuco de agua, Cortina, Enredadera.];[SWEDISH: Gullranka.];[TANZANIA: Money-plant.];[THAI: Ngot, Ngot khao, Thao Naang rong.];[TONGA: Alu.];[VANUATU: Ragdalo.];[VIETNAM: Ráyngót.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- SNDAU (Preferred name: Epipremnum pinnatum.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลคือการรวมกันของคำนำหน้าภาษากรีก 'epi' = Overและ'premnom' = 'trunk' โดยอ้างอิงถึง ลักษณะการเลื้อยไต่ ; ชื่อสปีซี่ส์ คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'pinnatus, a, um' = ขนนกมีปีกโดยอ้างอิงถึงรูปทรงของใบที่โตเต็มที่ Epipremnum pinnatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2451 ความหลากหลาย (Varieties);- ---Epipremnum pinnatum var. pinnatum (L.) Engl.,1908 Form;- ---Rhaphidophora pinnata f. aureo-variegata (Nakajima) Hatus.,1971 ---Rhaphidophora pinnata f. pinnata ที่อยู่อาศัย พบใน จีน อัสสัม บังกลาเทศ เมียนมาร์ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์จนถึงนิวกินีออสเตรเลีย แปซิฟิกตะวันตก เป็นพืชเลื้อยไต่เป็น hemi epiphytic เกิดขึ้นในป่าฝนหลักและทุติยภูมิและป่ามรสุมสูง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่ถูกรบกวนและตามแนวถนน ที่ระดับความสูง 100-1,000 เมตร บางครั้งเป็นวัชพืชในสวนยางพาราและบางครั้งก็ขึ้นตามโขดหิน ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นยาว 15-30 เมตร ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 - 4 ซม สามารถเจริญเติบโตได้สูงตามเรือนยอดไม้ ลักษณะ คล้ายพลูฉีก ใบรูปขอบขนานกว้าง 21-25 ซม.ยาว 40-50 ซม.ขอบใบฉีกเกือบถึงเส้นกลางใบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันมีลักษณะคล้ายจุดน้ำมันเมื่อมองจากด้านบน ก้านใบยาวประมาณ 25-30 ซม. ก้านใบ หุ้มลำต้นเมื่ออายุน้อย แต่แตกตัวเป็นเส้นใยเมื่ออายุมากขึ้น ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกสีขาว, สีเหลืองหรือสีเขียวและมีดอกยาวได้ถึง 25 ซม ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆดอกล่างใน spadix เป็นเพศเมียส่วนที่เหลือเป็นกะเทย ผลสีเขียวยาวประมาณ 27 ซม.เนื้อผลสีส้ม มี1-2 เมล็ด เมล็ดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงแดดแบบรำไรไปจนถึงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับดินที่หลากหลาย รวมทั้งดินเหนียว ทราย และดินร่วนที่มี pH ตั้งแต่ 4 ถึง 6 การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย--- ให้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเดือนละครั้ง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าก็ได้เหมือนกัน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟและไรเดอร์ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/บอบบางอ่อนแอต่อโรครากเน่า ไวรัสโมเสค รา และใบไหม้เกรียม การใช้ประโยชน์---มักถูกเก็บเกี่ยวจากป่า เพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น และบางครั้งก็ปลูกเพื่อจุดประสงค์นี้ ใบมีขายเป็นประจำในตลาดท้องถิ่นโดยเฉพาะในสิงคโปร์เพื่อใช้เป็นยา -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในเอเชีย หมู่เกาะแปซิฟิก และหมู่เกาะอินเดียตะวันตกชนิดนี้มักปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ใบเป็นยาแก้ปวดท้องยาบำรุงกำลัง มีชื่อเสียงอย่างมากในชุมชนชาวจีนในการรักษาโรคไขข้อกระดูกหักและโรคบิด การแช่ใบใช้เป็นยารักษาโรคไขข้อใช้เป็นยาชูกำลัง และสารต้านมะเร็ง ยาต้มใบใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย เจ็บหน้าอก เบาหวานและบรรเทาอาการปวดฟัน กล่าวกันว่าชาสี่ถ้วยที่ทำจากใบรวมกับ Premna taitensis ช่วยรักษาไมเกรนได้อย่างถาวร ใบอ่อนรวมกับ Imperata cylindricaบดผสมกับน้ำหรือน้ำมะพร้าวดื่มเป็นยารักษาโรคหนองใน ยาต้มใบใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากและบ้วนปากเพื่อรักษาอาการเหงือกอักเสบและฝีในฟัน -น้ำยางใช้ในการรักษางูกัด รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ
|
สกุลมอนสเตอรา/Monstera A dans.
Monsteraเป็นสกุลของพืชดอกในวงศ์Araceaeมี45สายพันธุ์ เป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนภูมิภาค ของทวีปอเมริกา พืชสกุลนี้เป็นไม้เลื้อยข้อสั้นเมื่อยังเล็กแผ่นใบเรียบพอโตเต็มที่แผ่นใบหยักเว้าเป็นแฉกใบมีรูเจาะทะลุ หรือเป็นจุดเล็กๆเท่าหัวเข็ม ช่อดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ปลีดอกสั้น มอนสเคอราที่ปลูกในเมืองไทยมีหลายชนิดจะยกมาดังต่อไปนี้
มอนสเตร่า/Monstera delicosa
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Monstera delicosa Liebm.(1849) ชื่อพ้อง--Has 8 Synonyms ---Tornelia fragrans Gut. ex Schott (1858) nom. illeg. ---Monstera borsigiana K.Koch (1862.) ---Monstera lennea K.Koch (1852). ---Monstera tacanaensis Matuda (1972.) ---Philodendron anatomicum Kunth (1847.) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:87478-1#synonyms ชื่อสามัญ---Ceriman, Swiss-cheese Plant, Split-leaf Philodendron, Mexican Breadfruit, Windowleaf, Cut-leaf-philodendron, Hurricane plant, Monstera, Locust and wild honey, Fruit salad plant. ชื่ออื่น---มอนสเตอร่า, พลูฉีก ;[AFRIKAANS: Geraamteplant.];[ASSAMESE: Lata-kochu.];[BRAZIL: Banana-de-macão, Inebe.];[CHINESE: Guībèi∙zhú .];[FRENCH: Ananas des pauvres, Ceriman, Monstère, Philodendron a feuilles incisees.];[GERMAN: Großes Fensterblatt, Kletterfensterblatt.];[JAPANESE: Houraishou, monsutera.];[KOREA: Mon seu te la.];[PORTUGUESE: Ananas-japonês, Banana-de-macaco, Balaco, Banana de macaco, Costela-de-adão, Tornelia.];[SPANISH: Ceriman de México, Pinanona monstera, Balazo, Hoja picada, Chirrivaca, Ojal, Costela de Adan.];[TONGA: Monesitela.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---MOSDE (Preferred name: Monstera delicosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง : ปานามา คอสตาริกา นิการากัว ฮอนดูรัส กัวเตมาลา เม็กซิโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Monstera' จากคำภาษาละตินว่า "monstrous" หรือ "abnormal" หมายถึงใบไม้ที่ผิดปกติซึ่งมีรูตามธรรมชาติที่สมาชิกของสกุลมี ; ชื่อสปีซี่ส์ ' delicosa' = อร่อย อ้างอิงถึงรสชาติของผลไม้ ; -ชื่อสามัญ 'Split Leaf Philodendron' อ้างอิงถึงใบปรุ แม้ว่าจะไม่ใช่ฟิโลเดนดรอน แต่พืชชนิดนี้มักเรียกว่าฟิโลเดนดรอนแบบแยกใบ (Split Leaf Philodendron) -ชื่อสามัญ 'Fruit salad plant' ในการอ้างอิงถึงผลไม้ที่กินได้ซึ่งมีรสชาติคล้ายกับสลัดผลไม้ Monstera delicosa เป็นสายพันธุ์พืชดอกในวงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Frederik Michael Liebmann (1813–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ. 2392
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนของเม็กซิโก (เซียปัส โออาซากาและเวราครูซ) พบในปานามา คอสตาริกา นิการากัว ฮอนดูรัส กัวเตมาลา เป็น epiphytic เติบโตตามกิ่งก้านของต้นไม้ในป่าบนภูเขาที่ชื้นหรือเปียกที่ระดับความสูง 900 - 1,500 เมตร แพร่กระจายโดยการเพาะปลูกไนเขตร้อน ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยข้อสั้นเติบโตในร่มเงาของต้นไม้ สูงถึง 5 (-20) เมตรหรือมากกว่า เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5-7 ซม.รากอากาศที่อยู่ส่วนล่างของพืชชนิดนี้สามารถหยั่งรากลงในดินเพื่อช่วยหาอาหารให้พืช ใบรูปหัวใจป้อม สีเขียวเข้ม ปลายใบแหลม โคนรูปหัวใจ แผ่นใบหนา เมื่อยังเล็กใบเรียบ พอโตเต็มที่แผ่นใบหยักเว้าเป็นแฉก ช่อดอกสมบูรณ์เพศ ปลีดอกสั้น ผลของ Monstera deliciosa มีขนาดยาวถึง 20ซม และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5ซม.มีลักษณะเหมือนฝักข้าวโพดที่มีเกล็ดสีเขียวรูปหกเหลี่ยม เมื่อผลไม้สุก (ใช้เวลาเกือบ 10 เดือน) เกล็ดเหล่านี้จะหลุดออกไปปล่อยกลิ่นหอมหวานและเผยให้เห็นเนื้อที่กินได้ด้านล่าง ผลไม้สุกมีรสชาติคล้ายกับขนุนและสับปะรดถือเป็นผลไม้ที่กินได้และปลอดภัยสำหรับมนุษย์ เมล็ดที่ผลิตได้น้อยมากและมีอายุการงอกสั้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--เป็นพืชปลูกเลี้ยงง่ายสามารถปลูกได้ทั้งในร่มและกลางแจ้งในแสงแดดที่กรอง ชอบดินร่วนระบายน้ำดีและมีความชื้นปานกลาง pH เป็นกรดอ่อนหรือเป็นกลาง อุณหภูมิ 20–30 °C การเจริญเติบโตจะหยุดลงที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 °C และทนต่ออุณหภูมิ −1 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆ (นานกว่าสองสามชั่วโมง) อัตราการเจริญเติบโตประมาณ 30 ถึง 60 ซม./ต่อปี การตัดแต่งกิ่ง---เล็มรากอากาศออกหากเกะกะเกินไปสำหรับเนื้อที่ปลูก รากของมันไม่ทำลายพื้นผิว ลำต้นและใบตอบสนองต่อการตัดแต่งได้ดีและสามารถนำมาใช้ในการขยายพันธุ์ได้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำ 20-20-20 ทุก 2-3 สัปดาห์ พืชพักตัวในฤดูหนาวไม่ต้องใส่ปุ๋ย ลดการรดน้ำให้น้อยลง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟและไรเดอร์ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) /หากมีรัศมีสีเหลืองรอบๆ จุดหรือปลายสีน้ำตาล แสดงว่าพืชติดเชื้อรา เชื้อราน่าจะเข้าไปได้เนื่องจากการรดน้ำมากเกินไปหรือทำให้พืชอยู่ในดินที่เปียกชื้นมากเกินไปนานเกินไป นำใบที่ได้รับผลกระทบออกและปล่อยให้พืชแห้งเล็กน้อยก่อนรดน้ำ
Picture: http://www.indoor-plant-care.com/plant-list/monstera-deliciosa/ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้รสหวานอมเปรี้ยว แต่ต้องแน่ใจว่าสุกจริง ๆ ผลไม้ที่ยังไม่สุกอาจทำให้ปากและคอระคายเคืองได้ -ใช้เป็นยา การแช่รากใช้กับโรคข้ออักเสบ -ใช้ปลูกประดับ มีหลักหรือไม้ใหญ่ให้เกาะเลื้อยก็จะเจริญได้อย่างดี มีพันธุ์ชนิดใบด่าง Monstera drlicosa cv. Variegata ใบจะมีรอยด่างเป็นสีเหลืองสวยไปอีกแบบ นิยมปลูกกันมากเช่นกัน -อื่น ๆรากอากาศใช้ทำเป็นเชือกและใช้ในการทำตะกร้า รู้จักอันตราย---เป็นพิษปานกลางต่อแมวและสุนัข เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ได้รับรางวัล---ในสหราชอาณาจักร Monstera deliciosa และพันธุ์ 'Variegata' ได้รับรางวัล AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 2017 ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำหน่อและลำต้นในน้ำหรือดิน * ในกรณีของการขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดการพัฒนาของพืชใช้เวลานาน ต้นกล้าเลื้อยไปในทิศทางตรงกันข้ามกับแสงแดดอย่างไร้ใบจนกว่าจะพบลำต้นของต้นไม้ซึ่งเป็นส่วนรองรับที่แข็งแรง ใช้เวลา 3 ปีในการออกดอก 4-6 ปีในการออกผล สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการปักชำหน่อและลำต้น หยั่งรากได้ในน้ำและทรายในพื้นดิน รากสามารถใช้เวลานานถึง 6-8 สัปดาห์ ต่อมาการสัมผัสกับดินถูกตัดขาดกลายเป็นวิถีชีวิตแบบ epiphytic
พลูฉลุ/Monstera obliqua 'Expilata'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Monstera obliqua (Miq.)Walp. cv. Expilata ชื่อพ้อง---Monstera obliqua 'Expilata' ชื่อสามัญ---Window-Leaf Monstera ชื่ออื่น---พลูฉลุ, พลูทะลุ ; [CHINESE: Di?nxi?n l?n,Gu? b?i ji?o.];[GERMAN: Fensterbl?tter.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- MOSOB (Preferred name: Monstera obliqua.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกากลาง เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง หมู่เกาะแคริบเบียน ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Monstera' จากคำภาษาละตินว่า "monstrous" หรือ "abnormal" หมายถึงใบไม้ที่ผิดปกติซึ่งมีรูตามธรรมชาติที่สมาชิกของสกุลมี ; ชื่อสปีซี่ส์ 'obliqua' = ใบไม้เฉียง Monstera obliqua cv. Expilata เป็นการกลายพันธุ์ของ Monstera obliqua สายพันธุ์พืชดอกในวงศ์บอน (Araceae) ในสกุล Monstera ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่เขตร้อนของอเมริกากลาง หมู่เกาะแคริบเบียนและป่าเขตร้อนของอเมริกาใต้ ยังสามารถพบได้ในฟลอริด้า ; เอเชีย ( มาเลเซีย, อินเดีย ; ออสเตรเลียและในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก ( โปรตุเกส, โมร็อกโก , Madeira ) ลักษณะ พลูฉลุ หรือพลูทะลุ เป็นไม้เลื้อยขนาดใหญ่มากสูงได้ถึง 21 เมตร ผลิต stolons (สโตลอนหรือ “รันเนอร์” คือลำต้นยาวที่เลื้อยไปตามพื้นป่าจนกว่าจะเจอต้นไม้ที่ปีนได้ ลำต้นไม่มีใบและสร้างรากเพื่อสร้างพืชใหม่ที่โหนด) มีรากอากาศที่ยาวและมักจะมีลักษณะเป็น epiphytic หรือกลายเป็นเลื้อยไต่ขึ้นไป ลำต้นมีสีเขียวรูปทรงกระบอก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 - 10 มม. ลำต้นมีปล้องยาวประมาณ 10 – 30 ซม.ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5 – 10 ซม.ยาว 8 – 18 ซม.ปลายใบแหลมโคนใบมน ผิวใบด้านบนสีเขียวถึงเขียวเข้ม แผ่นใบบางเป็นลอนมีรูทะลุค่อนข้างกลมระหว่างเส้นใบสลับกันไป แต่ไม่สม่ำเสมอ ใบของต้นที่ยังอายุน้อยมักจะมีขนาดเล็กกว่ามากและมักจะเติบโตแนบกับลำต้นของพืชที่เป็นเจ้าภาพ ส่วนใบโตเต็มวัยจะมีขนาดใหญ่กว่ามาก ดอกไม้เล็ก ๆ เกิดขึ้นบนหนามที่เรียกว่า spadix และล้อมรอบด้วยใบไม้ดัดแปลงที่เรียกว่า spathe รวมกันเป็นช่อ ดอกไม้ประกอบด้วยก้านกาบยาวถึง 45 ซม ซึ่งบางครั้งจะร่วงโรยและมักเป็นสีขาวหรือครีมอมเขียว ผลไม้มีเนื้อ สีขาวสุกเป็นสีส้มในบางชนิดกินได้ มีเมล็ดกลมรี 1-3 เมล็ด ยาว 5 - 22 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--เป็นพืชปลูกเลี้ยงง่ายสามารถปลูกได้ทั้งในร่มและกลางแจ้งในแสงแดดที่กรอง แสงแดดโดยตรงจะทำให้ใบไม้ไหม้และทำให้ใบบางและเปราะ สามารถทนต่อแสงแดดโดยตรงได้อย่างมาก 3 ชั่วโมง อุณหภูมิระหว่าง 16 ถึง 20?C อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 4?C พืชจะตาย ชอบความชื้นสูง (ความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 85%) การพ่นหมอกบ่อยๆจะช่วยรักษาระดับความชื้นรอบ ๆได้ในระยะยาว ชอบดินร่วนชื้นอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำและอากาศได้ดี ขึ้นได้ดีในดินที่มีค่า pH ระหว่าง 5.5 ถึง 6.5 สัญญาณของการรดน้ำมากเกินไป ได้แก่ ใบเหลืองที่ส่วนล่างของลำต้นและใกล้กับราก การบำรุงรักษาสูง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก หากพิชมีขนาดใหญ่และสูงมากเกินไป ควบคุมได้โดยการตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยละลายช้า 13-4-5 หรือปุ๋ยน้ำ 20-20-20 เจือจางก็ได้ เดือนละ 1 ครั้ง เป็นพืชที่เติบโตช้า และถ้าไม่ใส่ปุ๋ยมันจะเติบโตช้าลง พืชพักตัวในฤดูหนาวไม่ต้องใส่ปุ๋ย รดน้ำให้น้อยลง เช่นทุกๆ หนึ่งถึงสองสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟและไรเดอร์ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) /บอบบางอ่อนแอต่อโรครากเน่า ไวรัสโมเสค รา และใบไหม้เกรียม ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ในการเพาะปลูกพืชจะมีขนาดเล็กกว่าในธรรมชาติมาก มีหลักหรือไม้ใหญ่ให้เกาะเลื้อยก็จะเจริญได้อย่างดี รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำหน่อและลำต้น
พลูปีกนก/Monstera Karstenianum
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Monstera Karstenianum ชื่อพ้อง--- Monstera sp. 'Peru' ชื่อสามัญ--- Monstera Peru ชื่ออื่น--- พลูปีกนก, พลูระเบิด, พลูใบย่น ; [THAI: Phlu peek nok, Phlu ra-berd, Phlu bai yon.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- MOSSS (Preferred name: Monstera sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--- เวเนซุเอลา Monstera sp. 'Peru' มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Monstera Karstenianum ซึ่งถือเป็นชื่อเก่าเนื่องจากพืชจัดเป็นฟิโลเดนดรอนถึงอย่างนั้นก็ยังมีความสับสนมากขึ้น ในขณะที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ Philodendron opacum แต่ชื่อที่เหมาะสมน่าจะเป็น Philodendron Karstenianum ไม่ว่าในกรณีใดสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ก็คือ Monstera Peru = Monstera Karstenianum = Philodendron opacum = Philodendron Karstenianum ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเวเนซุเอลา ลักษณะ เป็นไม้เลื้อย อายุหลายปี ลำต้นเล็กทรงกระบอก มีข้อปล้อง รากสั้นออกตามข้อปล้อง ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปไข่กว้าง ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ สีเขียวอมเหลือง เส้นใบชัดเจน แผ่นใบค่อนข้างหนา ระหว่างเส้นใบนูนเด่นชัดคล้ายลูกฟูกลวดลายสม่ำเสมอด้วยสีเข้มและสีเขียวอ่อนมันวาว ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ที่ปลายยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก ไม่มีก้านดอก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างทางอ้อมเพื่อให้เติบโตได้ดีที่สุด ยังทำได้ดีภายใต้ร่มเงา แต่ขึ้นอยู่กับแสงที่จะเติบโตอย่างเหมาะสม ที่สำคัญไม่สามารถทนต่อแสงแดดโดยตรงได้มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มิฉะนั้นความร้อนจากแสงแดดจะเผาทั้งใบและลำต้น ต้องการความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ตลอดเวลา การพ่นหมอกบ่อยๆจะช่วยรักษาระดับความชื้นรอบ ๆได้ ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุมีความชื้นสม่ำเสมอ ดินมีการระบายน้ำได้เร็ว มีค่า pH ระหว่าง 5.0 ถึง 6.5 ให้น้ำปริมาณมากอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง และต้องทุกๆ 3 ถึง 4 สัปดาห์ในช่วงฤดูหนาว อัตราการเจิญเติบโตเร็ว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย--- ให้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเดือนละครั้ง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าก็ได้เหมือนกัน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟและไรเดอร์ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/บอบบางอ่อนแอต่อโรครากเน่า ไวรัสโมเสค รา และใบไหม้เกรียม ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับสวน ไม้กระถางแขวน ไม้ในอาคาร มีหลักหรือไม้ใหญ่หรือโครงสร้างแนวตั้งให้เกาะเลื้อยก็จะเจริญได้อย่างดี รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำหน่อและลำต้นได้ทั้งในน้ำและในดิน
|
หน้าวัว/Anthurium Schott
Anthurium เป็นสกุลของพืชในวงศ์หน้าวัว (Araceae) มีถิ่นกำเนิดในฮาวาย ปัจจุบันกระจายพันธุ์ได้เกือบทุกทวีป แต่จะเจริญดีในภูมิอากาศแบบร้อนหรือร้อนชื้น (15 - 30 องศาเซลเซียส) จากฐานข้อมูลพืช ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557) ได้รายงานไว้ว่าเกี่ยวกับ "ชื่อค้นหา" ของคำว่า "หน้าวัว" ในประเทศไทยทั้งหมด 4 ชื่อ คือ 1. หน้าวัวดอก (Flamingo flower หรือ Tail flower) Anthurium × ferrierense Mast. & T. Moore 2. หน้าวัวดอกแดง (Flamingo flower, Pigtail Anthurium หรือ Pigtail flamingo flower) Anthurium scherzerianum Schott 3. หน้าวัวไทย (เจ็ดทิวา, เดหลีใบกล้วย, Madonna lily, Peace lily หรือ Spathe flower) จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับหน้าวัว แต่อยู่คนละสกุลกัน โดยหน้าวัวไทยจัดอยู่ในสกุล Spathiphyllum มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Spathiphyllum cannifolium (Dryand. ex Sims) Schott 4. หน้าวัวใบ (Crystal Anthurium) Anthurium crystallinum Linden ex André https://th.wikipedia.org/wiki/หน้าวัว ในหน้านี้จะกล่าวถึง เดหลี และหน้าวัวใบ ไม้ที่นิยมปลูกประดับภายใน ส่วนหน้าวัวดอกจะมีเล็กน้อย รู้จักอันตราย--- สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าต้นหน้าวัวทั้งหมดเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง แพทย์กล่าวว่าการกินส่วนของต้นหน้าวัวอาจทำให้ช่องปากอักเสบและทางเดินหายใจอุดตันดังนั้นควรเก็บพืชให้ห่างจากเด็กและสัตว์
หน้าวัวดอก/Anthurium × ferrierense Mast. &. T Moore
ชื่อวิทยาศาสตร์---Anthurium × ferrierense Mast. & T. Moore.(1883) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Anthurium ×cultorum Birdsey.(1951) ---See all https://www.gbif.org/species/3604464 ชื่อสามัญ---Anthurium, Tailflower, Flamingo flower, Laceleaf. ชื่ออื่น---หน้าวัวดอก [GERMAN: Große Flamingoblume.];[PORTUGUESE: Jarro-vermelho.];[SPANISH: Anturio.];[THAI: Naa woa dok.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- AURFE (Preferred name: Anthurium x ferrierense.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ Anthurium × ferrierense เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของพืชดอกวงศ์ (Araceae) สกุลหน้าวัว (Anthurium) ที่อยู่อาศัย มีถื่นกำเนิดในทวีปอเมริกา ตั้งแต่ตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก ไปจนถึงตอนใต้ของประเทศอาร์เจนตินา รวมถึงบางส่วนของแคริบเบียน ลักษณะ เป็นไม้อวบน้ำอายุหลายปี แตกหน่อเลื้อยมีการเจริญยอดเดียว ใบขนาดใหญ่กาบรูปหัวใจและกลุ่มดอกไม้ที่เรียวยาวเป็นลักษณะเฉพาะ เมื่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณลำต้น เมือมีความชื้นเพียงพอ เนื่องจากเป็นพืชระบบรากอากาศสามารถดูดน้ำและความชื้นจากอากาศได้ดี ส่วนช่อดอกของหน้าวัวหรือที่เรียกว่า ปลี คือ ส่วนที่เป็นดอกจริง ซึ่งประกอบด้วย ก้านช่อ ซึ่งมีดอกย่อยเล็กเรียงอัดแน่นอยู่บนปลี ดอกย่อยนี้เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ที่มีทั้งเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย อยู่ในดอกเดียวกัน ดอกที่อยู่บนก้านดอกนี้จะมีสีต่างๆหลายสี เมื่อจานรองดอกคลี่ปลีออกจะมีสีเหลืองอ่อน หรือสีปนแดง ตามสายพันธุ์ ดอกที่อยู่โคนปลีจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ไล่ไปปลายปลี แสดงว่า ดอกบาน และเมื่อตุ่มยอดเกสรตัวเมียเริ่มมีน้ำเหนียว ๆ แสดงว่าดอกนั้นพร้อมที่จะผสมเกสรตัวผู้จะบานภายหลังเกสรตัวเมีย ดังนั้นหน้าวัวส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีโอกาสผสมตัวเอง ยกเว้นบางสายพันธุ์ นอกจากนี้ เกสรเพศผู้ของหน้าวัวลูกผสมส่วนใหญ่ จะมีเกสรเพศผู้ฟุ้งเมื่ออุณหภูมิเย็น โดยมากมักจะผสมในช่วงฤดูหนาว ผลมีเนื้อนุ่ม เมื่อสุกมีสีแดงอมส้ม แต่ละผลมีเพียง1 เมล็ดหรือหลายเมล็ด รูปรี รูปขอบขนานหรือรูปกลม ดอกไม้แต่ละดอกสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 สัปดาห์ และอาจกลับมาออกดอกทุก 2-3 เดือน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดด 50 เปอร์เซ็นต์ หรือได้รับแสงแดดในช่วง ครึ่งวันเช้า วัสดุปลูก ควรเป็นวัสดุที่เก็บความชื้นได้ดี โปร่ง ระบายน้ำได้ดี ชอบความชื้นในอากาศสูงควรฉีดพ่นน้ำเพิ่มขึ้นในช่วงบ่าย การรดน้ำ---ปล่อยให้ดินบนผิวดินแห้งก่อนที่จะรดน้ำอีกครั้ง ภายในอาคารประมาณสัปดาห์ละครั้ง ถ้าอยู่ข้างนอก ในช่วงวันที่อากาศร้อน ก็สามารถรดน้ำได้ทุกๆ สองหรือสามวัน การตัดแต่งกิ่ง---เอาใบที่เป็นสีน้ำตาลที่กำลังจะตายหรือร่วงโรยออก ตัดดอกไม้ที่ร่วงโรยโดยตัดออกจากฐาน หรือจะปล่อยให้ดอกไม้ที่ร่วงโรยไว้นานขึ้นหากต้องการให้พืชผลิตเมล็ดเท่านั้น ตัดใบหรือยอดที่ทำให้พืชดูไม่สมดุล อย่าเอาใบมากเกินไป ทิ้งไว้อย่างน้อยสามหรือสี่ใบ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่มีฟอสฟอรัสสูง เจือจาง ทุกสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ในสหรัฐ นิยมใช้หน้าวัวพันธุ์สีแดงและสีแดงอ่อนมาก โดยคิดเป็น 80% ส่วนอีก 20% เป็นสีชมพูและสีขาว-ในฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ นิยมปลูกหน้าวัวพันธุ์สีแดงและสีส้ม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ชำยอด ชำต้น แยกหน่อ เพาะเนื้อเยื่อ
เดหลีใบกล้วย/Spathiphyllum cannifolium
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Spathiphyllum cannifolium (Dryand.) Schott.(1853) ชื่อพ้อง ---- Has 15 Synonyms ---Basionym: Pothos cannaefolia Dryand.(1802) ---Dracunculus cannifolius (Dryand. ex Sims) Raf. (1837) ---Philodendron cannifolium (Dryand. ex Sims) Sweet.(1839) ---Massowia cannifolia (Dryand. ex Sims) K.Koch.(1852) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:88955-1#synonyms ชื่อสามัญ ---Madonna Lily, Peace Lily, Spathe flower, Fragrant spathiphyllum ชื่ออื่น---หน้าวัวไทย, เจ็ดทิวา, เดหลีใบกล้วย, กวักมงคล ;[FRENCH: Canna-Blattfahne.];[HUNGARY: Vitorlavirágok.];[MALAYSIA: Bunga Sepatu, Lili Perdamaian (Malay); White Sails (English).];[THAI: Deli bai kluay, Chet thiwa.] ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---SQFCA (Preferred name: Spathiphyllum cannifolium.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ --- อเมริกาใต้ เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Spathiphyllum' เป็นการรวมคำในภาษากรีก "spatha" = กาบและ "phyllon" = ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงกาบของช่อดอกซึ่งคล้ายกับใบไม้ Spathiphyllum cannifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลเดหลี (Spathiphyllum) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jonas Carlsson Dryander (1748–1810) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยHeinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียนปี พ.ศ.2396 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ (โคลัมบีย เวเนซูเอล่า และตอนเหนือของบราซิล) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีเหง้าใต้ดิน แตกกอ สูง 30-70 ซม.ทุกส่วนมีน้ำยางใส ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 15-25 ซม. ยาว 30-50 ซม.ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบอ่อนจะมีสีเหลืองอมเขียว ลักษณะของดอกคล้ายดอกหน้าวัว ดอกสีขาวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่งปลีดอกยาว ดอกย่อยมีขนาดเล็กโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ไม่มีก้านดอก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างทางอ้อม แสงแดดรำไร ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ต้องการน้ำมาก การตัดแต่งกิ่ง---เอาใบที่เป็นสีน้ำตาลที่กำลังจะตายหรือร่วงโรยออก ตัดดอกไม้ที่ร่วงโรยโดยตัดออกจากฐาน ตัดใบหรือยอดที่ทำให้พืชดูไม่สมดุล อย่าเอาใบมากเกินไป ทิ้งไว้อย่างน้อยสามหรือสี่ใบ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่มีฟอสฟอรัสสูง เจือจาง ทุกสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง จะดูดน้ำเลี้ยงของส่วนใบและยอด นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ที่ส่วนของดอกเช่นเดียวกัน ไรแดง จะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบและดอก ทำให้เกิดเป็นจุดด่าง ด้วงหรือแมลงปีกแข็ง ชอบกัดกินใบยอดและจานรองดอก (receptacle) ระวังหอยทาก ศัตรูอีกชนิดหนึ่งที่ชอบกินใบต้นหน้าวัว/โรคใบแห้ง โรครากเน่า โรคยอดเน่า โรคใบด่าง ควรฉีดยากันรา เดือนละ 1-2 ครั้ง ตอนช่วงฝนอาจฉีดเดือนละ 2 ครั้ง เชื้อราพวก Phytophthora ใช้พวกไดโฟลาเทน ถ้าเกิดจาก Collectotrichum ใช้เบนเลท และถ้าเกิดจาก Anthracnose ใช้ยาป้องกันกำจัดราชนิดใดก็ได้ ยกเว้นยาพวกกำมะถัน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เพราะอยู่ในร่มได้ดี มีดอกและใบสวย สามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงมักปลูกเดหลีเป็นไม้ประดับไว้ภายในอาคารสำนักงานหรือภายในบ้านเรือน ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน และนำโชคลาภมาให้ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์---ปักชำเหง้า แบ่งกอ
เดหลีใบมัน/Spathiphyllum wallisii
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Spathiphyllum wallisii Regel.(1877) ชื่อพ้อง ---- No synonyms are recorded for this name. ---See http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-193215 ชื่อสามัญ ---Peace Lily, Spathe flower, White flag, White sail, ชื่ออื่น---เดหลีใบมัน, หน้าวัวไทย, เจ็ดทิวา, กวักมงคล ;[DUTCH: Vredeslelie.];[FRENCH: Canna-Blattfahne, Fleur de lune, Lis de la paix, Spathiphylle de Wallis.];[GERMAN: Einblatt.];[HUNGARY: Vitorlavirágok.];[ITALIAN: Spatifillo.];[MALAYSIA: Bunga Sepatu, Lili Perdamaian (Malay); White Sails (English).];[PORTUGUESE: Lirio-da-paz.];[SPANISH: Cuna de Moisés, Bandera blanca, Espatifilo, Espatifilum.];[SWEDISH: Fredskalla.];[THAI: Deli bai maan.]. ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---SQFWA (Preferred name: Spathiphyllum wallisii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ --- อเมริกาใต้ เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Spathiphyllum' เป็นการรวมคำในภาษากรีก "spatha" = กาบและ "phyllon" = ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงกาบของช่อดอกซึ่งคล้ายกับใบไม้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'wallisii' ตั้งชื่อตาม Gustav Wallis (1830 – 1878) นักพฤกษศาสตร์ นักสำรวจ และนักสะสมพืชชาว เยอรมัน Spathiphyllum wallisii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลเดหลี (Spathiphyllum) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard August von Regel (1815–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าโคลอมเบียและเวเนซุเอลา ซึ่งเติบโตในพื้นที่ชื้นโดยเฉพาะ ที่ระดับความสูง 1,465 เมตร แนะนำ (เพาะปลูก) ในบังกลาเทศ เม็กซิโก อเมริกากลาง (ฮอนดูรัส) แคริบเบียน (คิวบา สาธารณรัฐโดมินิกัน) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเหนือดินแตกหน่อออกด้านข้างทำให้เป็นกอจนแลดูเป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ทุกส่วนมีน้ำยางใส ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5-10 ซม. ยาว 10-25 ซม.ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบอ่อนจะมีสีเหลืองอมเขียว ลักษณะของดอกคล้ายดอกหน้าวัว ดอกสีขาวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง ปลีดอกรวมก้านช่อดอก ยาว 45 ซม. มีจานรองดอกสีขาวรูปไข่ โค้งงอเล็กน้อย กว้าง 4-5 ซม.ยาว 18-21 ซม.ปลายเรียวแหลมด้านหลังอาจมีสีเขียวปนบ้าง ปลีดอกยาว 5-6 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็กมีกลีบดอก 6 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ผลเป็นผลมีเนื้อรูปรีสีเขียวยาวประมาณ 4 มม.มีเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างทางอ้อม แสงแดดรำไร ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ต้องการน้ำมาก การตัดแต่งกิ่ง---เอาใบที่เป็นสีน้ำตาลที่กำลังจะตายหรือร่วงโรยออก ตัดดอกไม้ที่ร่วงโรยโดยตัดออกจากฐาน ตัดใบหรือยอดที่ทำให้พืชดูไม่สมดุล อย่าเอาใบมากเกินไป ทิ้งไว้อย่างน้อยสามหรือสี่ใบ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่มีฟอสฟอรัสสูง เจือจาง ทุกสัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง จะดูดน้ำเลี้ยงของส่วนใบและยอด นอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ที่ส่วนของดอกเช่นเดียวกัน ไรแดง จะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบและดอก ทำให้เกิดเป็นจุดด่าง ด้วงหรือแมลงปีกแข็ง ชอบกัดกินใบยอดและจานรองดอก (receptacle) ระวังหอยทาก ศัตรูอีกชนิดหนึ่งที่ชอบกินใบต้นหน้าวัว/โรคใบแห้ง โรครากเน่า โรคยอดเน่า โรคใบด่าง ควรฉีดยากันรา เดือนละ 1-2 ครั้ง ตอนช่วงฝนอาจฉีดเดือนละ 2 ครั้ง เชื้อราพวก Phytophthora ใช้พวกไดโฟลาเทน ถ้าเกิดจาก Collectotrichum ใช้เบนเลท และถ้าเกิดจาก Anthracnose ใช้ยาป้องกันกำจัดราชนิดใดก็ได้ ยกเว้นยาพวกกำมะถัน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เพราะอยู่ในร่มได้ดี มีดอกและใบสวย สามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงมักปลูกเดหลีเป็นไม้ประดับไว้ภายในอาคารสำนักงานหรือภายในบ้านเรือน ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน และนำโชคลาภมาให้ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี ขยายพันธุ์---ปักชำเหง้า แบ่งกอ
หน้าวัวเจ้าสัว/Anthurium plowmanii
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium plowmanii Croat. (1987) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ--- Anthurium Wave of Love, Bird's Nest Anthurium, Ploughmanii Fruffles, Anthurium Fruffles, Wave of Love ชื่ออื่น--หน้าวัวใบพริ้ว,หน้าวัวใบ เจ้าสัว;[CHINESE: Zhú.];[INDONESIA: Gelombang cinta.];[THAI: Naa wua bai Chao sua.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURSS (Preferred name: Anthurium sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Anthurium' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก 'ánthos' = ดอกไม้ และ 'ourá' = หาง โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของช่อดอก ; ชื่อสปีซี่ส์ 'plowmanii' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่Timothy Charles Ploughman (1944-1989) นักพฤกษศาสตร์ ชาวอเมริกันเป็นผู้มีอำนาจระดับโลกเกี่ยวกับ neotropical Erythroxylum และผู้ร่วมวิจัยหลักของโครงการ Flora Amazonica ตั้งแต่ปี 1981 ถึง 1987 Anthurium plowmanii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลหน้าวัวใบ (Anthurium) มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและลักษณะของใบซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยพบในวงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas B. Croat (1938– ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2530 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน บราซิล ชิลี โคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู เวเนซุเอลา โบลิเวีย สหรัฐอเมริกา เป็น Epiphytic ขนาดใหญ่ใน Plantae ในป่าพื้นเมือง พืชชนิดนี้จะมีขนาดมหึมามากสำหรับต้นไม้ที่เป็นโฮสต์ ซึ่งมักจะตกลงมาที่พื้นและเติบโตต่อไปที่นั่น ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงได้ถึง 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-6 ซม.ไม่มีเนื้อไม้ ทรงพุ่มแผ่กว้าง เส้นผ่านศูนย์กลางทรงพุ่มประมาณ 70 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปไข่กลับ กว้าง 12-20 ซม. ยาว 50-60 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนมน มีขอบใบหยักเป็นคลื่น ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบสีเขียวเข้มมันวาว เห็นเส้นใบนูนเป็นสัน ใต้ใบสีเหมือนแผ่นใบแต่ซีดกว่า กาบใบเป็นร่องสีเขียวเข้ม ก้านใบ11-45 x 1-2 ซม.ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกตามซอกกาบใบ กาบช่อดอกสีม่วงแดง ยาว 12-18 ซม.จานรองดอกสีม่วงแดง รูปไข่แกมรูปใบหอก กว้างประมาณ 4 ซม ยาว 8-10 ซม ลู่ลงและบิดม้วน ดอกย่อยมีประมาณ 30 ดอกเรียงเป็นเกลียวตามนั้นและมีขนาดค่อนข้างเล็ก ผลสีแดงมีเนื้อรูปรีแกมรูปขอบขนานปลายมนเล็กน้อยยาว 8-12 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-6 มม. mesocarp ฉ่ำโปร่งแสง เมล็ด 1-2 เมล็ดสีน้ำตาล ยาว 5-6 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างจ้า แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรมีแสงจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้หรือผิดรูป ดินร่วนปนทรายชื้นอุดมสมบูรณ์ ชอบอุณหภูมิระหว่าง 18°C ถึง 25°C รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและปานกลาง ทำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ใบเหลืองมักเกิดจากการกินน้ำมากเกินไป การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งขึ้นอยู่กับว่าอากาศร้อนหรือแห้งเพียงใด สามารถใช้เครื่องพ่นหมอกหรือพ่นละอองน้ำด้วยขวดสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งเมื่อมันใหญ่เกินไปหรือใบด้านล่างเป็นสีน้ำตาลและตาย เด็ดก้านดอกเก่าออกจากต้น อย่าทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งของลำต้นหรือใบไว้บนต้นถ้ามันตายแล้วเพราะอาจทำให้เชื้อราหรือแบคทีเรียก่อตัวขึ้นบนพืชได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร 10-5-10 หรือ 20-10-20 ที่เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ โดยใส่ทุกเดือน หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่สมบูรณ์แบบ ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน และนำโชคลาภมาให้ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---ด้วยการ แยกหน่อ เพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบ บราวนิอาย/Anthurium brownii
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium brownii Mast. (1876) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Anthurium brownii ชื่ออื่น---หน้าวัวใบบราวนิอาย ชื่อวงศ์ ---ARACEAE EPPO Code---AURSS (Preferred name: Anthurium sp.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์ --- โคลัมเบีย คอสตาริกา อิควาดอร์ ปานามา เวเนซูเอล่า นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Anthurium' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก “ἄνθος” (ánthos) = ดอกไม้ และ “οὐρά” (ourá) = หาง โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของช่อดอก ;ชื่อสปีซี่ส์ 'brownii' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Nicholas Edward Brown (1849-1934) นักอนุกรมวิธานพืชชาวอังกฤษ Anthurium brownii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลหน้าวัวใบ (Anthurium) มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและลักษณะของใบซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยพบในวงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Maxwell Tylden Masters (1833–1907) นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2419 ที่อยู่อาศัย พบได้ตั้งแต่คอสตาริกาไปจนถึงโคลอมเบีย และเป็นเอพิไฟต์ตามธรรมชาติเติบโตที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก Epiphytic หรือ epilithic อายุหลายปี ลำต้น กลมสั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 2–3 ซม.เจริญเป็นกอ ทรงพุ่มแผ่กว้างได้ถึง 1 เมตร ใบรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยม กว้าง 40–50 ซม.ยาว 50 – 70 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ แผ่นใบหนา บิดเป็นคลื่นและเห็นเส้นใบชัดเจน ก้านใบกลม ยาว 0.15–1 เมตร และมีร่องเล็ก ๆ ตลอดความยาวก้าน ดอกออกที่ซอกใบ จานรองดอกรูปใบหอก กว้าง 1.5–4 ซม.ยาว 8–20 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบรูปหัวใจ สีเขียว ปลีดอกยาว 8–20 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มม สีม่วง ผลรูปรี เมื่อสุกสีส้มแดง ผลิตดอกปีละครั้ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงสว่างจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้หรือผิดรูป ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง (มากกว่า 50%) อุณหภูมิระหว่าง 18°C ถึง 25°C เติบโตช้า การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและปานกลาง ทำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ใบเหลืองมักเกิดจากการกินน้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งเมื่อมันใหญ่เกินไปหรือใบด้านล่างเป็นสีน้ำตาลและตาย เด็ดก้านดอกเก่าออกจากต้น อย่าทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งของลำต้นหรือใบไว้บนต้นถ้ามันตายแล้วเพราะอาจทำให้เชื้อราหรือแบคทีเรียก่อตัวขึ้นบนพืชได้ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย (สูตร 10-5-10 หรือ 20-10-20) เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ ทุกสองสัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่สมบูรณ์แบบ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---ด้วยการ แยกหน่อ เพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบผักกาด/Bird's Nest Anthurium
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium schlechtendahlii Kunth.(1841) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Pothos schlechtendalii (Kunth) M.Martens & Galeotti (1843) ชื่อสามัญ---Bird's Nest Anthurium, Pheasant's tail, Laceleaf ชื่ออื่น---หน้าวัวใบผักกาด ; [MAYA: Boobtuum, Kibal chak, Pool boox, U-k'uts-box.];[Mopan: Tye i pu (Q'eqchi).];[SPANISH: Cola de fasian, Hoja de cuero, Hoja de viento, Lengua de ciervo, Raiz de piedra.];[THAI: Naa wua bai phak kat.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURSL (Preferred name: Anthurium schlechtendahlii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์--เม็กซิโก เวเนซูเอลา เฟร้นซ์กีอานา กิอานา เนเธอร์แลนด์แอนติลิส สุรินัม ตรินิแดด-โตบาโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Anthurium' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก 'ánthos' = ดอกไม้ และ 'ourá' = หาง โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของช่อดอก; ชื่อสปีซี่ส์ 'schlechtendahlii' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Diederich Franz Leonhard von Schlechtendal (1794-1866) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Anthurium schlechtendahlii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลหน้าวัวใบ (Anthurium) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2384 มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ ;- ---Anthurium schlechtendalii subsp. jimenezii (Matuda) Croat.(1983 publ. 1984) ---Anthurium schlechtendalii subsp. schlechtendalii ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเบลิซ กัวเตมาลา ฮอนดูรัสและเม็กซิโก (เวรากรูซตอนกลาง)ถึงนิการากัวที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 1,600 ม. ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก เป็น Epiphyte, Lithophyte, Terrestrial อายุหลายปี ลำต้นมักสั้นเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม มีข้อปล้องที่พัฒนารากเนื้อสีขาวอมเขียวจำนวนมากในส่วนที่งอขึ้น ทรงพุ่มแผ่กว้างค่อนข้างสูงเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 ซม.ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปใบหอก ปลายแหลม โคนสอบ ขอบหยักเป็นคลื่น ด้านบนใบมีเส้นกลางใบและเส้นใบย่อยนูนเด่นชัด ใบหนา สีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 12-23 ซม. ดอกเป็นช่อ แบบช่อเชิงลดมีกาบ จานรองดอกมีขนาดเล็ก เรียวกว่าหน้าวัวชนิดอื่น ดอกเป็นกาบสีม่วงเข้ม มีspadixยาวเรียวและสีน้ำตาล(ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายดินสอ) ที่โผล่ขึ้นมาจากฐานซึ่งมีความยาวประมาณ 70 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างจ้า แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรมีแสงจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้หรือผิดรูป ดินร่วนปนทรายชื้นอุดมสมบูรณ์ อุณหภูมิระหว่าง 26°C ถึง 28°C การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและปานกลาง ทำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ใบเหลืองมักเกิดจากการกินน้ำมากเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ย (สูตร 10-5-10 หรือ 20-10-20) เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ ทุกสองสัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เป็นพืชใบกว้างที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคได้หลายอย่าง รวมถึงอาการเคล็ดขัดยอกของกล้ามเนื้อและข้อปวดหลังโรคข้ออักเสบและโรคไขข้อ -ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่สมบูรณ์แบบ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด แยกหน่อ เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบ เศรษฐีเงินหนา/Anthurium jenmanii
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium jenmanii Engl.(1905) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Anthurium englerianum G.S.Bunting, (1905). ---Anthurium trinitatis Engl.(1975). ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/15369-2#synonyms ชื่อสามัญ---Bird's Nest Anthurium, Cardboard Plant, Jenmanii Mangkok, Jenmanii Mangkok Tropical. ชื่ออื่น---หน้าวัวใบเจอร์แมนนิอาย, หน้าวัวใบเศรษฐีเงินหนา ;[INDONESIA: Mangkok.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURSS (Preferred name: Anthurium sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์-- อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Anthurium' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก 'ánthos' = ดอกไม้ และ 'ourá' = หาง โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของช่อดอก; ชื่อสปีซี่ส์ 'jenmanii' ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ George Samuel Jenman (1845-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ดูแลสวนพฤกษศาสตร์ Castleton ในจาไมก้า และต่อมาคือนักพฤกษศาสตร์ของรัฐบาลและผู้ดูแลสวนพฤกษศาสตร์ในบริติชเกียนา Anthurium jenmanii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลหน้าวัวใบ (Anthurium) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ. 2448 *Anthurium Jenmanii Varieties มีหลายชนิดย่อย ทั้งหมดมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้แตกต่างกันหรืออาจเป็น Anthurium bonplandii subsp Guyanum ซึ่งมีใบใหม่สีม่วง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างอย่างมาก ที่jenmanii ไม่มี http://www.exoticrainforest.com/Anthurium jenmaniii pc.html ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ตรินิแดด-โตเบโกถึงบราซิล (Amapá) และพบได้ตามธรรมชาติบนเกาะทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลแคริบเบียน ในป่าชื้นตลอดจนในป่าเปิดที่แห้งแล้ง และพื้นหินแกรนิต ซึ่งอาจเป็น Epiphyte, Lithophyte หรือ Terrestrial โดยทั่วไปพบที่ระดับความสูงน้อยกว่า 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ลำต้นมักสั้น เจริญเป็นกอ ทรงพุ่มแผ่กว้าง เมื่อโตเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50–60ซม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กลับถึงรูปใบหอกกลับ ยาว (22)40-103 ซม. กว้าง (8)11-52 ซม.ปลายแหลมถึงมน โคนสอบ ขอบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง สีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบไม่ชัดเจน ก้านใบเกือบกลม ด้านบนเป็นเหลี่ยม ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกตามซอกกาบใบ ก้านช่อดอกกลมยาว 26-86 ซม.จานรองดอกรูปใบหอก ปลีดอกเรียวยาวสีม่วงแดงคล้ำ เกสรสีเหลืองซีดจางเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมหวานปานกลาง ผลเบอร์รี่ สีแดงอมม่วงอ่อนถึงสีม่วงซีดไปทางฐานของ Spadix จนกระทั่งผลเบอร์รี่ที่อยู่ล่างสุดเกือบเป็นสีขาว ผลรูปไข่กลับปลายมน ยาวถึง 10 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 มม. ผลละ 2 เมล็ด รูปขอบขนานยาว 8 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างจ้า แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรมีแสงจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้ ดินร่วนปนทรายชื้นอุดมสมบูรณ์ ชอบอุณหภูมิระหว่าง 18°C ถึง 25°C รดน้ำอย่างสม่ำเสมอและปานกลาง ทำให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่เปียกแฉะ ใบเหลืองมักเกิดจากการกินน้ำมากเกินไป การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งขึ้นอยู่กับว่าอากาศร้อนหรือแห้งเพียงใด สามารถใช้เครื่องพ่นหมอกหรือพ่นละอองน้ำด้วยขวดสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งเมื่อมันใหญ่เกินไปหรือใบด้านล่างเป็นสีน้ำตาลและตาย เด็ดก้านดอกเก่าออกจากต้น อย่าทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งของลำต้นหรือใบไว้บนต้นถ้ามันตายแล้วเพราะอาจทำให้เชื้อราหรือแบคทีเรียก่อตัวขึ้นบนพืชได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร (NPK) 10-5-10 หรือ 20-10-20 ที่เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ โดยใส่ทุกเดือน หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง -ใช้ประโยชน์ ใช้ปลูกประดับ ชนิดนี้ทำให้เกิดความนิยมในอินโดนีเซียในปี 2550-2551 รู้จักกันในฐานะไม้ประดับที่มีระดับหรูหราและมีราคาแพง แม้ว่าตอนนี้ความนิยมจะไม่เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่สมบูรณ์แบบ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน และนำโชคลาภมาให้ ขยายพันธุ์---ด้วยการ แยกหน่อ เพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบพลู /Anthurium radicans
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium radicans K.Koch & Haage.(1854) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Anthurium malyi Wied-Neuw. ex Schott.(1862) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/85262-1#synonyms ชื่อสามัญ---Bird's Nest Anthurium, Tabletop creeping Anthurium ชื่ออื่น---หน้าวัวเรดิแคน, หน้าวัวใบพลู ; [THAI; Naa wua bai phloo.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURSS (Preferred name: Anthurium sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์-- อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Anthurium' คือการรวมกันของคำในภาษากรีก 'ánthos' = ดอกไม้ และ 'ourá' = หาง โดยอ้างอิงถึงส่วนปลายของช่อดอก Anthurium radicans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลหน้าวัวใบ (Anthurium) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยKarl Heinrich Emil Koch (1809–1879) และ Friedrich Adolph Haage (1796–1866) นักพืชสวนและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2397 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบราซิลตะวันออกเฉียงใต้ (Bahia ถึง Espírito Santo) และบางส่วนของเอกวาดอร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและเป็นเพียงหนึ่ง เดียว ในหมวด Chamaerepium ลักษณะ หน้าวัวเรดิแคนเป็นหนึ่งในหน้าวัวเลื้อยที่เล็กที่สุด เป็นไม้ล้มลุก Lithohyte อายุหลายปี ลำต้นมักสั้น สูง 30 ซม.ใบเดี่ยวเรียงสลับ มีทั้งใบแบบ Cordate และ Bullate ใบคอร์เดตเป็นใบที่มีลักษณะเป็นรูปหัวใจและใบรั้นเป็นใบที่มีลักษณะเป็นตุ่มหรือพุ นักสะสมมักเรียกใบไม้ชนิดนี้ว่า "quilted" ยาว 10 -15 ซม. กว้าง 6 - 8 ซม. มีเส้นหลักด้านข้างของเส้นกลางใบข้างละ 3 - 4 เส้น ใบที่ใหญ่ที่สุดในชิ้นงานมีขนาดประมาณ 14 ซม.ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ก้านช่อยาวเท่าก้านใบหรือสั้นกว่า ยาว 2 - 4 ซม. กาบใบหนา ขอบหยัก สีแดง ก้านใบกว้าง รูปไข่ ยาว 3.5 - 4 ซม. กว้าง 2 - 2.5 ซม. Spadix มีก้านยาวหรือยาวกว่า 1 ซม. หนา สีเขียวอมแดง สั้นกว่ากาบ ยาว 2 - 3.5 ซม. หนา 1.5 ซม. กลีบเลี้ยงสั้น รูปขอบขนาน ปลายยอดชี้ขึ้น เกสรเพศผู้ยาวเกือบสองเท่าของกลีบเลี้ยง โคนรังไข่แคบลงเป็นลักษณะชัดเจน เกสรเพศผู้ยาวเท่ากัน มีจุดสีเขียวแกมม่วง ผลเบอร์รี่ทรงรี สีเขียว ยาว 5 มม. หนา 3 มม.มีเมล็ดสั้น ๆ รูปขอบขนาน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างจ้า แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรมีแสงจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้ ดินร่วนปนทรายชื้นอุดมสมบูรณ์ การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งขึ้นอยู่กับว่าอากาศร้อนหรือแห้งเพียงใด สามารถใช้เครื่องพ่นหมอกหรือพ่นละอองน้ำด้วยขวดสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---ควรตัดแต่งใบด้านล่างเป็นสีน้ำตาลและตาย เด็ดก้านดอกเก่าออกจากต้น อย่าทิ้งส่วนใดส่วนหนึ่งของลำต้นหรือใบไว้บนต้นถ้ามันตายแล้วเพราะอาจทำให้เชื้อราหรือแบคทีเรียก่อตัวขึ้นบนพืชได้ การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร (NPK) 10-5-10 หรือ 20-10-20 ที่เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ โดยใส่ทุกเดือน หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง -ใช้ประโยชน์ ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร -อื่น ๆ A.radicans มักจะใช้ในการผลิตลูกผสมต่างๆ ถูกใช้เป็นสายพันธุ์แม่สำหรับพันธุ์หน้าวัวลูกผสม พันธุ์ลูกผสมมักเป็นหมันและจะไม่แพร่พันธุ์ทางเมล็ด สายพันธุ์ลูกผสมก่อให้เกิดพืชที่มีลักษณะเฉพาะและมีใบที่น่าสนใจ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---ด้วยการ แยกหน่อ เพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบยาวแคบ/Anthurium vittarifolium
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium vittarifolium Engl.(1905.) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ--- Long Strap Leaves Anthurium, Strap leaf anthurium, Flamingo flower, Hawaiin heart ชื่ออื่น---หน้าวัวใบวิตตาริโฟเลียม, หน้าวัวใบยาวแคบ ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURVI (Preferred name: Anthurium vittariifolium.) ถิ่นกำเนิด---อเมริกาใต้ เขตการกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ Anthurium vittarifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยHeinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2448 ที่อยู่อาศัย พบในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกาใต้ มีถิ่นกำเนิดในโคลอมเบีย บราซิล เอกวาดอร์ และเปรู มีการเผยแพร่ข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับสายพันธุ์นี้ ลักษณะ เป็นหน้าวัวประเภทที่ไม่เหมือนใคร เป็นไม้ล้มลุก Epiphyte อายุหลายปี ลำต้นมักสั้น มีใบยาวสีเขียวเข้มสวยงามที่สามารถเติบโตได้ถึง 2 เมตร กว้างเพียง 7.5 ซม.ใบเต่งตึงมีประกายกำมะหยี่สวยงาม ผลิตดอกสีแดง ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ในต้นเดียวกัน แต่จะไม่บานในเวลาเดียวกัน ดอกเพศเมียจะบานก่อนเสมอ เมื่อเกิดการปฏิสนธิ จะเกิดผลเบอร์รี่สีชมพู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ต้องการแสงสว่างจ้า แต่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรมีแสงจ้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่ทำให้ใบไหม้ วัสดุปลูกชื้นอุดมสมบูรณ์ การรดน้ำ---ต้องการความชื้นสูง รดน้ำวันละครั้ง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำเจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำเดือนละครั้งขณะรดน้ำ พืชสามารถใส่ปุ๋ยได้หากกำลังออกดอก ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ เหมาะอย่างยิ่งในตะกร้าแขวนเพื่อให้เข้ากับสภาพการเจริญเติบโตตามธรรมชาติและชื่นชมใบไม้ที่ห้อยยาว นิยมใช้ในบริเวณสวนที่อยู่ภายในอาคาร รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---ด้วยการ แยกหน่อ เพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ
หน้าวัวใบด่างสี/Anthurium Thai Hybrid ‘Variegata’
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Anthurium Thai Hybrid ‘Variegata’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Bird's Nest Anthurium, Thai Hybrid ‘Variegata’, Anthurium Thai Ruby ชื่ออื่น---หน้าวัวไทยลูกผสม, หน้าวัวใบด่างสี ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AURSS (Preferred name: Anthurium sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์-- อเมริกาใต้ Anthurium Thai Hybrid ‘Variegata’ เป็นหน้าวัวพันธุ์ไทยลูกผสม ที่อยู่อาศัย พบแหล่งกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนของอเมริกาใต้ ลักษณะ หน้าวัวนี้เป็นลูกผสมของหน้าวัวหลายรุ่นที่มีรูปทรงรังนก ล้วนโตมาจากเมล็ดดังนั้นพวกมันจึงมีรูปร่างและรูปแบบมากมาย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--เป็นพืชที่ดูแลง่าย ชอบแสงมาก แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบดินที่ชื้นและมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง ในฤดูหนาวรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยสูตร (NPK) 10-5-10 หรือ 20-10-20 ที่เจือจางลงครึ่งหนึ่งของขนาดที่แนะนำ โดยใส่ทุกเดือน หรือใช้ปุ๋ยพืชที่ปล่อยช้า ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชเหล่านี้อยู่ภายใต้ศัตรูพืชแบบเดียวกับที่มักส่งผลกระทบต่อพืชในร่มส่วนใหญ่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง ไรเดอร์ แมลงหวี่ขาว และ scale ใช้น้ำมันพืชและสบู่เพื่อบำบัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้/ใบเหลืองที่เป็นโรคเหี่ยวจากแบคทีเรีย ใบฟลอปปี้ที่เกิดจาก Rhizoctonia เป็นเชื้อราที่สามารถยึดรากและลำต้นส่วนล่างได้ มันทำให้ลำต้นอ่อนที่บอบบางอ่อนแอและเหี่ยวเฉาเพราะถูกน้ำขัง ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้ในงานจัดสวนในร่มรำไร หรือสวนกระถาง หรือสวนที่อยู่ภายในอาคาร รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---แยกหน่อ เพาะเนื้อเยื่อ
|
ฟิโลเดนดรอน /Philodendron sp
ชื่อสกุล 'Philodendron' มาจากภาษากรีกสองคำ คือ 'Phileo' หมายถึง รัก และ 'dendron' หมายถึง ต้นไม้ ท่านผู้รู้จินตนาการไว้ว่าเป็นต้นไม้พลอดรัก ก็น่าจะใช่เพราะสกุลนี้ ชนิดที่เป็นเถาเลื้อย รากจะกอดรัดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการอยู่รอด มีการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น เอเซีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ต้นไม้ในตระกูลฟิโลเดนดรอน (Philodendron sp.) เป็นไม้ใบในจำนวนหลายๆชนิดที่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตเป็นการค้าเพื่อส่งเสริมให้แก่เกษตรกร ฟิโลเดนดรอน ส่วนใหญ่เป็นไม้เลื้อยจัดอยู่ในวงศ์ Araceae มีอยู่ด้วยกันประมาณ 200 ชนิดและมีมากกว่า 100 ลูกผสมที่ถูกพัฒนาโดยนักปรับปรุงพันธุ์ ดังนั้นจึงเกิดความสับสนในเรื่องของชื่อสามัญอยู่ ฟิโลเดนดรอนเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย ดูแลง่าย แข็งแรง ปัญหาเรื่องโรคน้อย ทนทานในที่ร่มจึงมักนำไปตกแต่งภายในอาคารส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีผู้ค้นพบแล้ว 350-400 ชนิด แบ่งตามการเจริญเติบโตเป็น 3 กลุ่มคือ 1 ฟิโลเดนดรอนที่เป็นเถา (Climbing Philodendron)รากหยั่งลึกลงพื้นดินและพยุงตัวขึ้นสูงดูเหมือนไม้ใหญ่ 2 ฟิโลเดนดรอนที่แตกกอ ( Self-Heading Philodendron) เจริญเป็นพุ่ม 3 ฟิโลเดนดรอนกึ่งเลื้อยกึ่งแตกกอ ( Semi-climbing and self heading Philodendron) ถือเป็นพืชกรองสารพิษในอากาศเช่นฟอร์มาลดีไฮด์เบนซีนและไตรคลอโรเอทิลีนจากบรรยากาศ
ฟิโลเดนดรอน ซานาดู /Philodendron cv 'Xanadu'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Thaumatophyllum xanadu (Croat, J.Boos & Mayo) Sakur., Calazans & Mayo.(2018). ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Philodendron xanadu Croat, Mayo & J.Boos (2003) ---See Plant of the word on line Thaumatophyllum xanadu (Croat, Mayo & J. Boos) Sakur., Calazans & Mayo. ชื่อสามัญ---Philodendron xanadu ชื่ออื่น--- ซานาดู, ฟิลโลซานาดู ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---PIOXA (Preferred name: Philodendron xanadu.) syn ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์-- อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Thaumatophyllum' มาจากภาษากรีกโบราณ 'thaumato' = สงสัย, อัศจรรย์ และ 'phyllum' = ใบไม้ ; ใบวิเศษ หมายถึง ใบที่สวยงามแปลกตาของพรรณไม้ชนิดหนึ่ง Thaumatophyllum xanadu เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Thaumatophyllum ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [Thomas B. Croat (1938– ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน, Julius Oscar Boos (1946–2010) นักพฤกษศาสตร์ชาวตรินิแดด และ Simon Joseph Mayo (1949– ) นักพฤกษศาสตร์ ชาวอังกฤษ] และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Cassia Monica Sakuragui (1965–) นักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล., Luana Silva Braucks Calazans (1989-) เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยา ชาวบราซิล และ Simon Joseph Mayo (1949– ) นักพฤกษศาสตร์ ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2561 เดิมที พืชชนิดนี้ได้รับรายงานว่า เป็นกล้าไม้ที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งเกิดขึ้น ในปีพ.ศ.2526 ในสถานเพาะเลี้ยงต้นไม้ ของออสเตรเลียตะวันตก คิดว่าเป็น Sport หรือลูกผสมของ Thaumatophyllum bipinnatifidum จากนั้นเรียกว่า Philodendron bipinnatifidum และตั้งชื่อว่า Philodendron 'Winterbourn' และได้รับการคุ้มครอง ภายใต้สิทธิผู้ปรับปรุงพันธุ์พืช ในออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังขายภายใต้ชื่อ Philodendron 'Showboat' ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น 'Xanadu' โดย House Plants of Australia และเปิดตัวเป็นพืชแห่งปีในปี พ.ศ. 2531 -ชื่อนี้เป็นเครื่องหมายการค้าในสหรัฐอเมริกาโดยใช้ชื่อพันธุ์ 'Winterbourn' เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2531 สิทธิบัตรดังกล่าวได้หมดอายุลงแล้ว และขณะนี้มีข้อพิสูจน์ที่ยืนยันว่าพืชชนิดนี้ไม่ใช่พันธุ์ลูกผสมหรือพันธุ์ที่ปลูกในเรือนเพาะชำ แต่แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากเมล็ดที่รวบรวมจาก พืชป่าในบราซิล พืชชนิดนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น Philodendron xanadu Croat, Mayo & J.Boos ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดบราซิลตอนใต้และปารากวัย ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี พุ่มกว้าง 1.6 เมตรลำต้นสูง 1 เมตรขึ้นไปเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5-5 ซม.ปล้องสั้น มีรากอิงอาศัย ใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายมนมีติ่ง ขอบเว้าลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ มี 7 แฉก โคนเว้า ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวเรียบเกลี้ยง เป็นมัน ยาว 17-24ซม. กว้าง 13-16 ซม.แผ่นใบสีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบชัดเจนสีเขียวอ่อน ก้านใบอวบหนา ทรงกระบอก ยาว 20-35ซม. กว้าง 0.5-1ซม. ดอก ออกเป็นดอกช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงทางอ้อมไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบดินที่ชื้นและมีความชื้นสูงมีการระบายน้ำได้ดี อุณหภูมิระหว่าง 18ºC ถึง 29ºC การเจริญเติบโตเร็ว เป็นพืชที่ดูแลง่าย ต้องการการบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อย การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง ในฤดูหนาวรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุล สามารถให้ปุ๋ยทางใบแก่พืชเมื่อรดน้ำ หากสีของใบไม้ดูซีด มีความเป็นไปได้สูงที่พืชอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อนและเพลี้ยแป้ง กำจัดได้ง่ายโดยใช้สบู่ฆ่าแมลงแบบโฮมเมด สามารถเช็ดเพลี้ยแป้งด้วยสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ถู /มีความไวสูงต่อโรคจากแบคทีเรีย ได้แก่ ใบจุดที่เกิดจากเชื้อราซึ่งเจริญเติบโตได้ในที่ชื้น และ Erwinia blight (โรคใบไหม้ที่เกิดจากแบคทีเรีย) ควรหลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์มีกระดูกสันหลังแต่แตกต่างกันในระดับของความเป็นพิษ พวกเขามีออกซาเลตแคลเซียมผลึก ในคานของ raphide ซึ่งเป็นพิษและเกิดการระคายเคือง สารก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง การเคี้ยวและ / หรือการกินส่วนต่างๆของพืชอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมอย่างรุนแรงและการทำงานของระบบทางเดินหายใจบกพร่อง https://pt.qaz.wiki/wiki/Thaumatophyllum_xanadu ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด การตอน ปักชำยอด
ฟิโลใบมะละกอ/Philodendron bipinnatifidum Engl
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Thaumatophyllum bipinnatifidum ( Schott ex Endl. ) Sakur., Calazans & Mayo. (2018) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Basionym: Philodendron bipinnatifidum Schott ex Endl.(1837) ---Arum pinnatifidum Vell.(1881), nom. illeg. ---Philodendron pygmaeum Chodat & Vischer(1920.) ---Philodendron selloum K.Koch(1853.) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77178497-1#synonyms ชื่อสามัญ-- Lacy tree philodendron, Fiddle-Leaf, Fruit Salad Plant, Heartleaf Philodendron, Horsehead Philodendron, Panda Plant, Red Emerald, Red Princess, Saddle Leaf, Split Leaf Philodendron ชื่ออื่น---ฟิโลใบมะละกอ, ฟิโลเดนดรอนไบพินนาติฟิดัม ;[BRAZIL: Cipo-imbe.];[CHINESE: Chūn yǔ, Yǔ liè.];[JAPANESE: Hitodekazura.];[PORTUGUESE: Banana-de-imbé, Banana-de-macaco, Banana-de-morcego, Banana-do-brejo, Banana-timbó, Membe.];[SPANISH: Guembe, Uña de danta brasilera.];[THAI: Phillo bai ma-la-kor.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---PIOBI (Preferred name: Philodendron bipinnatifidum) syn EPPO Code---PIOSE (Preferred name: Philodendron selloum) syn ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตการกระจายพันธุ์--อเมริกากลาง อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Thaumatophyllum' มาจากภาษากรีกโบราณ 'thaumato' = สงสัย, อัศจรรย์ และ 'phyllum' = ใบไม้ ; ใบวิเศษ หมายถึง ใบที่สวยงามแปลกตาของพรรณไม้ชนิดหนึ่ง Thaumatophyllum bipinnatifidum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Thaumatophyllum ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย จากอดีต Stephan Ladislaus Endlicher (1804- 1849) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย] และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย [Cássia Mônica Sakuragui (1965–) นักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล, Luana Silva Braucks Calazans (1989-) เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยา ชาวบราซิล และ Simon Joseph Mayo (2492–) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2561 ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองพบในป่าฝนเขตร้อนชื้นของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ (จากโบลิเวียตะวันออก ถึง บราซิลตอนใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา) ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก อิงอาศัย Epiphyte อายุหลายปี ลำต้นมีรากอากาศ ทุกส่วนของลำต้นมีน้ำยางใสที่มีกลิ่นเฉพาะตัว สามารถเติบโตได้สูงถึง 5 เมตรในถิ่นที่อยู่ในเขตร้อนชื้น แต่โดยทั่วไปจะมีขนาดเล็กกว่ามากเมื่อปลูกในกระถาง ใบเดี่ยวเรียงเวียน รูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนเว้ารูปหัวใจ ขอบใบหยักเว้าเป็นแฉกเกือบถึงโคนใบมี 5 แฉก แฉกรูปแถบกว้าง ปลายแต่ละแฉกแหลมถึงมน แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนังสีเขียวเข้มเป็นมัน ก้านใบรูปทรงกระบอกเรียวแคบไปทางปลาย ปลอกหุ้มยอดสีเขียวอ่อนดอกออกเป็นช่อเชิงลดมีกาบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงทางอ้อมไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบดินที่ชื้นและมีความชื้นสูงมีการระบายน้ำได้ดี อุณหภูมิระหว่าง 18ºC ถึง 29ºC การเจริญเติบโตเร็ว เป็นพืชที่ดูแลง่าย ต้องการการบำรุงรักษาเพียงเล็กน้อย การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง ในฤดูหนาวรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุล สามารถให้ปุ๋ยทางใบแก่พืชเมื่อรดน้ำ หากสีของใบไม้ดูซีด มีความเป็นไปได้สูงที่พืชอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะแคลเซียมและแมกนีเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยอ่อนและเพลี้ยแป้ง กำจัดได้ง่ายโดยใช้สบู่ฆ่าแมลงแบบโฮมเมด สามารถเช็ดเพลี้ยแป้งด้วยสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ถู แมลงหวี่ขาว ไส้เดือนฝอย /Dickeya chrysanthemi (โรคเหี่ยวของดอกเบญจมาศและไม้ประดับอื่นๆ) ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์มีกระดูกสันหลังแต่แตกต่างกันในระดับของความเป็นพิษ พวกเขามีออกซาเลตแคลเซียมผลึก ในคานของ raphide ซึ่งเป็นพิษและเกิดการระคายเคือง สารก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง การเคี้ยวและ / หรือการกินส่วนต่างๆของพืชอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมอย่างรุนแรงและการทำงานของระบบทางเดินหายใจบกพร่อง https://pt.qaz.wiki/wiki/Thaumatophyllum_xanadu ได้รับรางวัล--- AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด การตอน ปักชำยอด
ฟิโลเศรษฐีมีทรัพย์/Philodendron sp. ‘Setthimisap’
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Philodendron sp. ‘Setthimisap’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Philodendron ชื่ออื่น---ฟิโลเดนดรอน, เศรษฐีมีทรัพย์, เศรษฐีรวยทรัพย์ ; [THAI: Setthimisap.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- PIOSS (Preferred name: Philodendron sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ Philodendron sp. ‘Setthimisap’ เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของ สายพันธุ์ของพืชดอก ในครอบครัว วงศ์บอน (Araceae) สกุล Philodendron
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน บราซิล เป็นพันธุ์ลูกผสมไม่สามารถพบในสภาพธรรมชาติ ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุก Epiphyte อายุหลายปี มีรากอิงอาศัย ใบเดี่ยว ตั้งตรง รูปใบหอก ปลายแหลมถึงเรียวแหลม โคนตัดหรือคล้ายรูปหัวใจ ขอบเรียบถึงเป็นคลื่นห่างๆ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ยาว 28-39 ซม. กว้าง 10-15ซม.ขอบใบสีขาวแถบเล็กประมาณ 1 มม.ตลอดแนวขอบใบ แผ่นใบสีเขียว เส้นใบและเส้นกลางใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบด้านหลังสีเขียวอ่อนปนชมพูเข้ม นูนเด่นชัดบริเวณโคนและค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ก้านใบหนาแข็ง เป็นรูปครึ่งทรงกระบอกตามแนวยาว ยาว 12-30 ซม. กว้าง 1 ซม.ดอกออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม-- ชอบแสงมาก แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ชอบดินร่วนอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ มีความเป็นกรดอ่อน ๆมีการระบายน้ำได้ดี เป็นพืชที่ดูแลง่าย การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง ในฤดูหนาวรดน้ำเพียงสัปดาห์ละครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย--- ให้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลเดือนละครั้ง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าก็ได้เหมือนกัน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง บางครั้งอาจพบ เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟและไรเดอร์ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมั่งมีเงินทอง และนำโชคลาภมาให้ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด การตอน ปักชำยอด
ฟิโลทอง/Philodendron 'Lemon Lime'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Philodendron erubescens ‘Lemon Lime’ K. Koch & Augustin ชื่อพ้อง--Philodendron 'Lemon Lime' ชื่อสามัญ---Golden Philodendron, Golden brazil, Philodendron scandens lemon lime plant, Areum, Lemon lime heartleaf philodendron, Sweetheart vine ชื่ออื่น---ฟิโลทอง ; [GERMAN: Rotblättriger Philodendron.];[SWEDISH: Kopparranka.];[THAI: Philo thong.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---PIOER (Preferred name: Philodendron erubescens.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Philodendron' มาจากภาษากรีกสองคำ คือ 'Phileo' หมายถึง รัก และ 'dendron' หมายถึง ต้นไม้ Philodendron erubescens ‘Lemon Lime’ เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของ Philodendron erubescens สายพันธุืพืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Philodendron ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน โคลอมเบีย และคอสตาริก้า เป็นพันธุ์ลูกผสมไม่พบในสภาพธรรมชาติ ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนอายุหลายปี ลำต้นอวบน้ำสีเขียวอมเหลือง สามารถเลื้อยพันจากรากพิเศษที่เกิดตามข้อไปได้ไกลประมาณ 1-3 เมตร ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับกันรอบลำต้น รูปไข่หรือรูปขอบขนาน กว้าง 12-15 ซม. ยาว 25-30 ซม. ปลายแหลม โคนรูปหัวใจ ขอบเรียบ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง เป็นมัน แผ่นใบสีเขียวอมเหลือง ใบอ่อนสีเหลือง เส้นกลางใบนูนเด่นเห็นชัด ก้านใบทรงกระบอกเขียวอมเหลือง โคนใบสีแดง ยาว 7-8 ซม.ไม่มีลิ้นใบ ปลอกหุ้มยอดสีเขียวอมเหลือง ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ สีขาว ผลเป็นเป็นผลสด มีเปลือกผลสีขาวไปจนถึงสีส้มแดง ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--เป็นพืชที่ดูแลง่าย ชอบแสงมาก แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ต้องการแสงแดดส่องถึง ความชื้น 40-60% อุณหภูมิฉลี่ยระหว่าง 16 ถึง 24°C ชอบดินที่ที่ร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ในช่วงฤดูหนาวเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ควรปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดเป็นสัญญาณของการรดน้ำมากเกินไป ในพื้นที่แห้งมาก รักษาระดับความชื้นให้ถูกต้องโดยใช้เครื่องพ่นหมอกหรือฉีดพ่นใบวันละครั้งหรือสองครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำเจือจางทุกสัปดาห์ ในช่วงฤดูหนาว ให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง อาจพบ ;- -เพลี้ยแป้ง มักพบปุยสีขาวตามดอก ข้อ ก้าน ใบ ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดเพื่อกำจัดแมลง -เชื้อราริ้น แมลงวันตัวเล็กสีเข้ม มักมีสีขาว ใช้สเปรย์น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์หรือยาฆ่าเชื้อราเพื่อกำจัดแมลงอย่างถาวร -ไรเดอร์-มีจุดสีเหลืองหรือสีน้ำตาลที่ด้านบนของใบ ใช้น้ำยาล้างจานเพื่อทำความสะอาดพืชและกำจัดแมลง -โรคเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย และโรครากเน่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา พืชชนิดนี้มีลักษณะพิษที่มีความรุนแรงต่ำ ระยะออกดอก---มักออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำยอดในน้ำและในดิน
ฟิโลมูนไลท์/Philodendron 'Moonlight'
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Phillodendron sp. 'Moonlight' ชื่อพ้อง---Phillodendron 'Moonlight' ชื่อสามัญ---Moonlight Philodendron ชื่ออื่น---ฟิโลมูนไลท์ ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- PIOSS (Preferred name: Philodendron sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา ขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Philodendron' มาจากภาษากรีกสองคำ คือ 'Phileo' หมายถึง รัก และ 'dendron' หมายถึง ต้นไม้ Phillodendron sp. 'Moonlight' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของสายพันธุืพืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Philodendron ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นพันธุ์ลูกผสมไม่พบในสภาพธรรมชาติ ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนอายุหลายปี อิงอาศัย มีรากอากาศ ลำต้นสีเขียวอมเหลืองสูงประมาณ 30-60 ซม. ใบเดี่ยว เรียงเวียนถี่ ตั้งตรงหรือเอียง รูปไข่กว้างถึงรูปขอบขนาน ปลายแหลมถึงเรียวแหลม โคนตัด มนหรือรูปหัวใจ ขอบเรียบ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวเรียบเกลี้ยงเป็นมัน มีปลอกหุ้มยอดติดทนอยู่บริเวณโคนก้านใบติดกับลำต้น ยาว 21-23ซม. กว้าง 11-12ซม.แผ่นใบสีเขียวตลอดทั้งใบ ใบอ่อนสีเขียวอ่อนปนเหลือง เส้นกลางใบนูนเด่นชัดบริเวณโคนและค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ก้านใบอวบหนา เป็นรูปครึ่งทรงกระบอกตามแนวยาว สีเขียว ยาว 7-8 ซม.กว้าง 1 ซม.ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชที่ดูแลง่าย ชอบแสงมาก แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ต้องการแสงแดดส่องถึง ความชื้น 40-60% อุณหภูมิฉลี่ยระหว่าง 16 ถึง 24°C ชอบดินที่ที่ร่วนซุย มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ในช่วงฤดูหนาวเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ควรปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดเป็นสัญญาณของการรดน้ำมากเกินไป ในพื้นที่แห้งมาก รักษาระดับความชื้นให้ถูกต้องโดยใช้เครื่องพ่นหมอกหรือฉีดพ่นใบวันละครั้งหรือสองครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำเจือจางทุกสัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง อาจพบ ;- -เพลี้ยแป้ง มักพบปุยสีขาวตามดอก ข้อ ก้าน ใบ ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดเพื่อกำจัดแมลง -เชื้อราริ้น แมลงวันตัวเล็กสีเข้ม มักมีสีขาว ใช้สเปรย์น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์หรือยาฆ่าเชื้อราเพื่อกำจัดแมลงอย่างถาวร -ไรเดอร์-มีจุดสีเหลืองหรือสีน้ำตาลที่ด้านบนของใบ ใช้น้ำยาล้างจานเพื่อทำความสะอาดพืชและกำจัดแมลง -โรคเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย และโรครากเน่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางในร่ม วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา พืชชนิดนี้มีลักษณะพิษที่มีความรุนแรงต่ำ ขยายพันธุ์--- การตอนกิ่ง ปักชำยอดและลำต้น เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ฟิโลปริ้นซ์ออเร้นจ์/Philodendron 'Prince of Orange'
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Philodendron 'Prince of Orange' ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ--- Philodendron ชื่ออื่น---ฟิโลเดนดรอน ปริ้นซ์ออเรนจ์, ฟิโล ปริ้นซ์ออเร้นจ์ ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code--- PIOSS (Preferred name: Philodendron sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Philodendron' มาจากภาษากรีกสองคำ คือ 'Phileo' หมายถึง รัก และ 'dendron' หมายถึง ต้นไม้ Philodendron 'Prince of Orange' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของสายพันธุืพืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Philodendron ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นพันธุ์ลูกผสมไม่พบในสภาพธรรมชาติ ลักษณะ เป็นพันธุ์ที่มีใบสีส้มสดใสได้รับชื่อจากใบสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา การเติบโตใหม่เริ่มเป็นสีเหลืองแบบดาวกระจายเมื่อแรกเกิดเปลี่ยนเป็นโทนสีทองแดงและสีส้มสดก่อนและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีเขียวเข้มขึ้น ก้านใบจะเรียงซ้อนชิดกันและไม่สามารถมองเห็นลำต้นได้จนกว่าพืชจะแก่จริงๆ ขนาดที่เติบโตใหญ่ที่สุด 0.60 เมตร ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในตำแหน่งที่จะได้รับแสงจากภายนอกหรือกรองแสงตลอดทั้งวัน ความชื้นสัมพัทธ์ 50% อุณหภูมิฉลี่ยระหว่าง 18 ถึง 26°C และอุณหภูมิจะไม่ต่ำกว่า13°C ชอบดินที่ร่วนซุยมีอินทรียวัตถุสูง มีการระบายน้ำและอากาศได้ดี การรดน้ำ---ในฤดูร้อนรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ในช่วงฤดูหนาวเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ควรปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดเป็นสัญญาณของการรดน้ำมากเกินไป ในพื้นที่แห้งมาก รักษาระดับความชื้นให้ถูกต้องโดยใช้เครื่องพ่นหมอกหรือฉีดพ่นใบวันละครั้งหรือสองครั้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยอินทรีย์สำหรับพืชในร่ม ให้ปุ๋ยน้ำทุก 2 เดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล เช่น 10-10-10 การใส่ปุ๋ย fish emulsion 1 ครั้งทุก 2 สัปดาห์ จะให้ผลลัพธ์ที่ดี สำหรับใบใหม่ที่ซีดมักจะบ่งบอกว่าพืชได้รับแคลเซียมและแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นธาตุอาหารรองที่จำเป็นสำหรับฟิโลเดนดรอน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พืชชนิดนี้ทนต่อโรคและศัตรูพืช แต่อาจพบ เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยแป้ง สามารถเช็ดเพลี้ยแป้งด้วยสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ถู /โรคเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย และโรครากเน่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในฐานะพืชภูมิทัศน์ในสภาพอากาศเขตร้อนกึ่งเขตร้อนและอบอุ่น ใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง วางประดับในอาคาร หรือใช้เป็นไม้ตัดใบ รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา พืชชนิดนี้มีลักษณะพิษที่มีความรุนแรงต่ำ ขยายพันธุ์---การตอนกิ่ง ปักชำยอดและลำต้น เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
พลูกำมะหยี่หรือพลูสนิม/Philodendron melanochrysum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Philodendron melanochrysum Linden & André (1873) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Philodendron andreanum Devansaye (1886). ---Philodendron grandidens auct. (1887) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/87882-1#synonyms ชื่อสามัญ---Black- Gold Philodendron ชื่ออื่น---พลูกำมะหยี่, พลูสนิม ;[GERMAN: Schwarzgoldener Philodendron.];[SWEDISH: Guldkantskalla.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---PIOSS (Preferred name: Philodendron sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ :โคลัมเบีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Philodendron' มาจากภาษากรีกสองคำ คือ 'Phileo' หมายถึง รัก และ 'dendron' หมายถึง ต้นไม้ ; ชื่อสปีซี่ส์ 'melanochrysum' มาจากภาษาละติน 'melano' = สีดำและ 'chrysum' = ทองคำ ซึ่งแปลว่า ทองคำสีดำ Philodendron melanochrysumเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Jules Linden (1817–1898; Linden ) นักพฤกษศาสตร์ชาวลักเซมเบิร์ก-เบลเยียม และ Éduard-FrançoisAndré (1840-1911) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2416 ที่อยู่อาศัย พืชเฉพาะถิ่นของโคลอมเบียเติบโตในป่าฝนที่เปียกชื้นใน Departments of Chocó และAntioquia ที่ระดับความสูง 500-800 เมตร มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในที่อื่นเพื่อเป็นไม้ประดับ ลักษณะ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้ออ่อนขนาดกลางเลื้อยได้ไกล 2-4 เมตร ในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ พวกมันสามารถสูงได้ถึง 6 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนานหรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ออกเวียนสลับ ก้านใบค่อนข้างแข็งด้านบนเป็นร่องเล็กน้อย ยาว 9-12 ซม. ใบยาว 15-18 ซม. กว้าง 10-12 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้ารูปหัวใจ แผ่นใบเป็นกำมะหยี่สีเขียวคล้ำอมสีแดง ใต้ใบสีม่วงแดงซีดกว่า เส้นกลางใบและเส้นใบข้างเป็นเส้นสีเหลืองตัดกันอย่างสวยงาม ใบอ่อนสีเหลืองสดหรือสีแดงแซลมอน มักไม่พบช่อดอก ดอกสีเขียวขาว ไม่ติดผล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า หลีกเลี่ยงการให้พืชสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน เนื่องจากใบไม้สามารถไหม้ได้ง่าย อุณหภูมิระหว่าง 21° C - 27 ° C ชอบความชื้นค่อนข้างต่ำ วัสดุปลูกที่โปร่งเก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี การรดน้ำ---ต้องการการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละครั้ง ควรรดเมื่อดินด้านบนแห้ง 2 ถึง 3 นิ้ว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำสูตรสมดุล เช่น 10-10-10 ทุกเดือน ก่อนการใส่ปุ๋ยให้รดน้ำก่อน เนื่องจากดินแห้งและปุ๋ยอาจเป็นอันตรายต่อราก ในฤดูหนาวพืชพักตัว งดการให้ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ปัญหาทั่วไปของฟิโลเดนดรอน เมลาโนไครซัม มักเป็นผลมาจากแสงหรือการรดน้ำที่ไม่เหมาะสม ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พืชชนิดนี้ทนต่อโรคและศัตรูพืช แต่ให้ระวังศัตรูพืชในร่มทั่วไป เช่น เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยแป้ง สามารถเช็ดเพลี้ยแป้งด้วยสำลีจุ่มแอลกอฮอล์ถู/การติดเชื้อแบคทีเรีย โรคเชื้อรา โรคใบจุด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้กระถางหรือเกาะกับไม้ใหญ่ รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา พืชชนิดนี้มีลักษณะพิษที่มีความรุนแรงต่ำ ขยายพันธุ์---การตอนกิ่ง ปักชำยอดและลำต้น เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
|
สกุลซิงโกเนียม /Syngonium Schott
Syngonium หรือที่เรียกกันว่า เงินไหลมา ทองไหลมา เป็นประเภทของพืชดอกในครอบครัว Araceae ที่มี 140 สกุล สกุล Syngonium Schott ได้รับการตั้งชื่อและอธิบายโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียใน Wiener Zeitschrift für Kunst ในปีพ.ศ. 2372 ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก (syn - plus, z) และ (gone - gonada) หมายถึงรังไข่ที่หลอมรวมของดอกไม้เพศเมีย มีการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนในป่าฝนในภาคใต้ของเม็กซิโกที่เวสต์อินดีส ,อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ศูนย์กลางของความหลากหลายของสกุลอยู่ในคอสตาริกาและปานามาซึ่งมีทั้งหมด 16 ชนิด (13 ในคอสตาริกาและ 11 ในปานามา) เป็นไม้เลื้อยอายุหลายปี เมื่อยังเล็กใบมีรูปทรงสีสันต่างจากเมื่อโตเต็มที่ ช่อดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด กาบรองดอกห่อหุ้มด้านล่างของปลีดอก พืช สกุลนี้ปลูกเลี้ยงง่าย ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดรำไรมีความชื้นในอากาศสูง หากปลูกในที่ความชื้นต่ำ ใบจะไม่สวยงามและมักไม่เลื้อยเกาะ หากได้รับแสงน้อยจะอ่อนแอและยืดยาว พืชเหล่านี้มีวงจรชีวิตยืนต้นซึ่งหมายความว่าพวกมันมีอายุยืนยาวถึงหลายสิบปีหากได้รับการดูแลและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม- Syngoniumชนิดที่ปลูกประดับในเมืองไทย
เงินไหลมา/Syngonium Podophyllum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Syngonium podophyllum Schott. (1851) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Syngonium podophyllum var. typicum Engl. (1920) not validly publ. ---See https://powo.science.kew.org/taxon/89152-1#synonyms ชื่อสามัญ---Arrowhead plant, Arrowhead vine, Arrowhead philodendron, Goosefoot, African evergreen, American evergreen. ชื่ออื่น--เงินไหลมา,ทองไหลมา; [CHINESE: Hé guǒ yù shǔ.];[FRENCH: Syngonium commun.];[MEXICO: Pico de guara.];[PORTUGUESE: Singónio.];[SPANISH: Conde, Pinuela.];[THAI: [THAI: Ngeon lei maa, Thong lei maa.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---SYNPO (Preferred name: Syngonium podophyllum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--- เม็กซิโก, โบลิเวีย, เวสต์อินดีส, ฟลอริด้า, เท็กซัส, ฮาวาย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Syngonium' มาจากคำภาษากรีก (syn - plus, z) และ (gone - gonada) หมายถึงรังไข่ที่หลอมรวมของดอกไม้เพศเมีย : ชื่อสายพันธุ์ 'Podophyllum' มาจากภาษาละติน หมายถึง ใบที่มีก้านใบอ้วน Syngonium Podophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Syngonium ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2394 รวม 2 Infraspecifics ที่ยอมรับ : ความหลากหลาย (Varieties) ;- ---Syngonium podophyllum var. peliocladum (Schott) Croat.(1981 publ. 1982) ---Syngonium podophyllum var. podophyllum ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ (ทางเหนือถึงโบลิเวียและตะวันออกของบราซิล) เปิดตัวในบังคลาเทศ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา (ฟลอริด้า) แคริบเบียน (แต่ไม่ใช่ในแอฟริกา แม้ว่าในพืชสวนจะได้รับชื่อ African evergreen) และแปลงสัญชาติในเวสต์อินดีส, เท็กซัส, ฮาวายและสถานที่อื่น ๆ ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยที่มีเถายาว ลำต้นมีความยาวประมาณ 10-20 เมตร มีลำต้นกลมสีเขียวเกลี้ยงเป็นข้อห่างๆ และมีรากออกตามข้อลำต้นแต่ละข้อจะมีกาบใบหุ้มอยู่ใบเดียวออกตามข้อสลับกันซึ่งมีก้านใบยาวประมาณ 10-15 ซม. ใบเป็นแฉกประมาณ 5 แฉก ขนาดใบกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาวประมาณ 10-15 ซม.ใบเป็นแฉกลึกเข้าหาโคนใบ ส่วนปลายใบเรียวแหลม มีใบ 6-7 ใบ ใบเดี่ยวมักเป็นรูปลูกศรยาวได้ถึง 30 ซมในป่าใบมีสีเขียวเข้มและไม่มีความแตกต่างกัน พันธุ์ที่ปลูกมีใบในเฉดสีต่างๆของสีเขียวมีหลายสายพันธุ์ที่แตกต่างกันความแตกต่างหลักอยู่ที่ตำแหน่งและขอบเขตของสีครีมหรือเครื่องหมายสีขาว บางใบมีสีขาวชมพูหรือเหลืองเกือบทั้งหมด ที่เรียกกันว่า "ทองไหลมา" ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ เก็บความชื้นระบายน้ำ และอากาศได้ดี pH ควรอยู่ที่ประมาณ 5.6-7.0 การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสามสัปดาห์ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่นโดยใส่ปุ๋ยครึ่งหนึ่งที่มีอัตราส่วน NPK สมดุลหรือ 5-5-5 ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานศัตรูพืชหลายชนิด แต่อาจพบ เพลี้ยแป้ง/ ไม่ต้านทานต่อโรครากเน่าและการติดเชื้อแบคทีเรีย ตลอดจนไวรัสโมเสก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้กระถางทรงสูง ปลูกในกระถางแขวน เกาะกับไม้ใหญ่ และใช้สำหรับการจัดสวนภายใน ความเขื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลนาม คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นเงินไหลมาไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความมั่งมีร่ำรวย เงินทองไหลมาสู่บ้านและผู้อาศัย รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ได้รับรางวัล--- AGM (The Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำยอด เพาะเนื้อเยื่อ
ออมเพชร/Syngonium wendlandii Schott
ชื่อวิทยาศาสตร์---Syngonium wendlandii Schott. (1858) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Syngonium podophyllum var. typicum Engl. (1920), not validly publ. ---See https://powo.science.kew.org/taxon/89152-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Silver Goosefoot, Velvety Syngonium ชื่ออื่น---เงินไหลมา, ออมเพชร ; [CHINESE: Róng yè -Gō hate imo.];[THAI: Ngeon lei maa, Oom petch.]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---SYNWE (Preferred name: Syngonium wendlandii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลางและอเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก(syn - plus, z)และ(gone - gonada) หมายถึงรังไข่ที่หลอมรวมของดอกไม้เพศเมีย Syngonium wendlandii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Syngonium ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปีพ.ศ.2401 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าชื้นของอเมริกากลางและอเมริกาใต้ (คอสตาริกา) แนะนำ (เพาะปลูก) ใน Malesia (Java) ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยคลุมดิน epiphytic หรือ hemiepiphytic ลำต้นและก้านใบสีเขียว ใบเดี่ยว รูปหัวใจหรือรูปใบหอก กว้าง 4 – 5 ซมยาว 8–12ซม ปลายใบแหลม โคนใบเว้า แผ่นใบสีเขียวเข้มเหมือนกำมะหยี่ มีแถบสีขาวพาดตามแนวเส้นกลางใบ และอาจกระจายไปตามเส้นใบย่อยเล็กน้อย ดอกเป็นช่อเชิงลด มีกาบแทงจากบริเวณกาบใบ ปลีดอกเรียวเป็นแท่ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า ดินร่วนอุดมสมบูรณ์เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี pH ควรอยู่ที่ประมาณ 5.6-7.0 การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา สามารถตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตได้ พยายามหลีกเลี่ยงการทำเช่นนี้ในช่วงฤดูแล้ง การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสามสัปดาห์ในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่นโดยใส่ปุ๋ยครึ่งหนึ่งที่มีอัตราส่วน NPK สมดุลหรือ 5-5-5 ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานศัตรูพืชหลายชนิด แต่อาจพบ เพลี้ยแป้ง/ ไม่ต้านทานต่อโรครากเน่าและการติดเชื้อแบคทีเรีย ตลอดจนไวรัสโมเสก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ใบประดับ ปลูกเป็นไม้กระถางและใช้สำหรับการจัดสวนภายใน รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำยอด เพาะเนื้อเยื่อ
พลูอินโด/Syngonium erythrophyllum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Syngonium erythrophyllum Birdsey ex G.S.Bunting.(1966) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-199037 ชื่อสามัญ---Arrowhead plant, Arrowhead Vine, Syngonium Roadside plant, Red Arrow, Llano Carti Road ชื่ออื่น---เงินไหลมา, พลูอินโด ;[THAI: Ngeon lei maa, Phloo indo.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---SYNER (Preferred name: Syngonium erythrophyllum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลางและอเมริกาใต้ และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก(syn - plus, z) และ (gone - gonada) หมายถึงรังไข่ที่หลอมรวมของดอกไม้เพศเมีย : ชื่อสายพันธุ์ 'erythrophyllum' = เม็ดเลือดแดง Syngonium erythrophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล Syngonium ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Dr. Monroe Birdsey (1923-2000) นักพฤกษศาสตร์ ชาวอเมริกัน จากอดีต George Sydney Bunting ในปีพ.ศ. 2509 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนและสามารถพบได้ตั้งแต่เม็กซิโกไปจนถึงบราซิล และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก อย่างไรก็ตาม มีการพบ Syngonium Erythrophyllum เป็นครั้งแรกในปานามา โดยมีรายงานว่าอยู่ติดกับถนน ซึ่งเป็นเหตุให้มักเรียกกันว่า Syngonium Roadside plant ดังนั้นปานามาและคอสตาริกาจึงเป็นที่ที่คุณจะพบพืชเหล่านี้มากมาย พืชเหล่านี้ส่วนใหญ่พบในพื้นที่เขตร้อน เขตกึ่งร้อน พื้นที่ชนบทและในเมือง รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ระดับความสูง 20-160 เมตร ลักษณะ เป็นไม้เลื้อยคลุมดิน epiphytic หรือ hemiepiphytic อายุหลายปี สูงถึง 1.8-3 เมตร ลำต้นและก้านใบสีเขียว มื่อยังเล็กใบรูปหัวใจสีเขียวเข้ม อมม่วงแดง เนื้อใบคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง เมื่อโตเต็มที่แผ่นใบเป็นรูปนิ้วมือ มี 3 ใบย่อย แต่ละใบเป็นใบรูปรีถึงรูปใบหอก แกมรูปรี หรือรูปไข่ จากนั้นใต้ใบจะเริ่มมีสีม่วงแดงมากขึ้นเรื่อยๆ ดอกมีลักษณะคล้ายกับพืช aroid อื่นๆ โดยมีกาบสีขาวหรือสีเขียวและช่อดอกคล้ายดอกเข็มสีเหลืองอ่อน อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้จะไม่ค่อยออกดอกในร่ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรหรือแสงแดดในช่วงเช้า หรือแสงทางอ้อมที่สว่าง การได้รับแสงแดดโดยตรงมากเกินไปจะทำให้ใบไม้ไหม้เกรียม ในขณะที่ร่มเงาจะส่งผลให้ยืดยาว และเปลี่ยนสี ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 15 °C ถึง 30 °C ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ เก็บความชื้นระบายน้ำและอากาศได้ดี pH ควรอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.5 ชอบความชื้นในอากาศสูง ระดับความชื้นควรอยู่ที่ประมาณ 70 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าพืชบ้านส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัดควรพ่นสเปรย์หมอก2-3 ครั้งในวันที่อากาศร้อนหรือลมแรง การบำรุงรักษาค่อนข้างต่ำ พืชมีวงจรชีวิตยืนต้น ซึ่งหมายความว่าพวกมันมีอายุยืนยาวหลายสิบปีหากได้รับการดูแลและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา สามารถตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตได้ พยายามหลีกเลี่ยงการทำเช่นนี้ในช่วงฤดูแล้ง การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก อย่าให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ในฤดูร้อนรดน้ำได้สองครั้งหรือสามครั้งต่อสัปดาห์ ระมัดระวังไม่ให้รดน้ำต้นไม้มากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดปัญหาได้ทุกประเภท เช่น การเจริญเติบโตของเชื้อรา การโจมตีของแมลง และอื่นๆ อีกมากมาย การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสามสัปดาห์ โดยใส่ปุ๋ยที่อุดมด้วยไนโตรเจนเจือจางที่ทำขึ้นสำหรับพืชใบโดยเฉพาะ หรือใช้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า ให้เปลี่ยนเป็นปุ๋ยประจำ 6 เดือน งดการใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว เมื่อต้นไม้พักตัว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยแป้ง ใช้น้ำมันสะเดาหรือสเปรย์สบู่ฆ่าแมลงเพื่อกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้/ ไม่ต้านทานต่อโรครากเน่าและการติดเชื้อแบคทีเรีย ตลอดจนไวรัสโมเสก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ใบประดับ ปลูกเป็นไม้กระถางและใช้สำหรับการจัดสวนภายใน รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ระยะออกดอก---ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ขยายพันธุ์--- ปักชำยอดและลำต้น เพาะเนื้อเยื่อ
|
วงศ์ URTICACEAE
พืชวงศ์ Urticaceae มีการกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและเขตหนาวทั่วโลกชนิดที่นำมาปลูกเป็นไม้ประดับในที่ที่มีแสงแดดรำไรได้แก่ไม้สกุลPilea Pilea (Pilea spp.) เป็นสกุลที่ประกอบด้วยพืชใบในเขตร้อนชื้นมากกว่า 600 ชนิดรวมทั้งชนิดพุ่มตรงและtrailing varietiesได้รับการปลูก เป็นhouse plant เนื่องจากง่ายต่อการเจริญเติบโตและการดูแล แป็นพืชเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ปลูกที่ไม่มีประสบการณ์ โดยทั่วไปพืชเหล่านี้เป็นพืชที่เจริญเติบโตในระดับปานกลางถึงโตเร็ว ใบของ Pilea แตกต่างกันไปมากตั้งแต่ใบที่มีพื้นผิวและรูปใบหอกขนาด 3 นิ้วไปจนถึงใบรูปหัวใจเล็ก ๆ และใบคล้ายมอส Pileas ออกดอกเป็นครั้งคราว แต่ดอกสีชมพูหรือสีครีมมีขนาดเล็กมากและมักไม่มีใครสังเกตเห็น
เบญจรงค์/Pilea cadierei
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pilea cadierei Gagnep. & Guillaum.(1939) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2546093 ชื่อสามัญ---Aluminium Plant. Silver Pilea, Watermelon pilea ชื่ออื่น---ลายเบญจรงค์ใบเขียว นกกระทา ;[CHINESE: Hua ye leng shui hua.];[CROATIA: Srebrna pileja.];[EL SALVADOR: Sandia.];[FRENCH: Piléa du père Cadier.];[GERMAN: Vietnamesische Kanonierblume.];[PORTUGUESE: Brilhantina, Madrepérola, Planta-aluminio.];[SPANISH: Hoja de alumino.];[SWEDISH: Silverpilea.];[THAI: Lai benjarong khieo, Nok kratha.]. ชื่อวงศ์---URTICACEAE EPPO Code---PILCA (Preferred name: Pilea cadierei.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน เวียดนาม บังคลาเทศ เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน บราซิลตะวันออก นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'cadierei' ได้รับการตั้งชื่อตาม Father Léopold Michel Cadière มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในอินโดจีนในขณะนั้น Pilea cadierei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์ตำแย (Urticaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรก โดย Francois Gagnepain (1866-1952)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และAndré Guillaumin (1885–1974) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2482 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเวียตนามและจีนตอนใต้-กลาง (กุ้ยโจว ยูนนาน) ตามสถานที่ที่มีร่มเงาในป่าที่ระดับความสูงตั้งแต่ 100 - 1,500 เมตร ปลูกเป็นไม้ประดับ เปิดตัวในบังคลาเทศ เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน บราซิลตะวันออก ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกคลุมดิน อายุหลายปี ต้นอวบน้ำ พุ่มตั้งตรง สูง 15-30 ซม. ใบรูปรีถึงรูปไข่กลับ ปลายเรียวแหลม ขอบใบหยักฟันเลื่อยละเอียด มีเส้นใบย่อย 3 เส้นเป็นร่องลึก มีแต้มหรือเส้นสีเทาเงินบนใบ ช่อดอกออกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกเล็กสีขาวหรือขาวอมเขียว ผลและเมล็ดพบได้ไม่บ่อยนัก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไร แสงสว่างส่องถึงอย่างน้อยสี่ชั่วโมงทุกวัน ชอบดินร่วนผสมดินทรายอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ระบายน้ำได้ดี pH ของดิน เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง การบำรุงรักษาค่อนข้างต่ำ การรดน้ำ---ชอบดินที่มีความชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำเมื่อดินชั้นบน 1/2″ แห้ง (อย่าให้ดินแห้งเกินกว่า 1 ใน 2 นิ้วใต้ผิวดิน) ต้องการความชื้นสูง ควรใช้เครื่องพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นระยะ ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งในฤดูใบไม้ผลิต้นไม้ในร่มสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำทุกเดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 5-5-5 เดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์สามารถใช้สำลีจุ่มแอลกอฮอล์ หรือน้ำมันสะเดาเช็ดถูออก /ปัญหาโรคใบจุด Xanthomonas (แบคทีเรียในพืช) มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรคใบไหม้จากเชื้อรา เช่นโรคแอนแทรคโนสและลำต้นเน่า รักษาโดยใช้สารฆ่าเชื้อรา ชีวภาพ และ สารฆ่าเชื้อรา Liquid copper fungicides ใช้ประโยชน์---พืชมักปลูกเป็นไม้ประดับคลุมดินในสวนเขตร้อนและเป็น house plant ในเขตอบอุ่น รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
ลายเบญจรงค์ใบแดง/Pilea involucrata 'Norfork'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pilea involucrata 'Norfork' ชื่อพ้อง ---Pilea spruceana 'Norfolk' ชื่อสามัญ---Friendship plant, Friendship Plant 'Norfolk', Pan-American Friendship Plant ชื่ออื่น---เบญจรงค์แดง, ลายเบญจรงค์ใบแดง ;[THAI: Benjarong daeng, Lai benjarong daeng.]. ชื่อวงศ์ ---URTICACEAE EPPO Code---PILSP (Preferred name: Pilea involucrata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ Pilea involucrata 'Norfork' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของ Pilea involucrata สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตำแย (Urticaceae) สกุล Pilea ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ลักษณะ เป็นไม้คลุมดิน สูง 15-30 ซม.จากนั้นจะมีแนวโน้มเลื้อยในแนวนอน ใบรูปรีปลายใบแหลมขอบใบหยักซี่เลื่อยถี่ แผ่นใบย่น สีเขียวเข้มเหลือบเงินสลับสีเทาเงินเป็นแถบตามแนวยาว เส้นใบย่อย3เส้นเห็นชัด ดอกออกเป็นกระจุกตามซอกใบสีแดงเรื่อ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไร หรือแสงสว่างอย่างน้อย 6 ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน (แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง) อุณหภูมิที่เหมาะสมในช่วง 18°C ถึง 24°C ชอบดินร่วนผสมดินทรายอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ระบายน้ำได้ดี pH ของดิน เป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง การบำรุงรักษาค่อนข้างต่ำ การรดน้ำ---ชอบดินที่มีความชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำเมื่อดินชั้นบน 1/2″ แห้ง (อย่าให้ดินแห้งเกินกว่า 1 ใน 2 นิ้วใต้ผิวดิน) ต้องการความชื้นสูง ควรใช้เครื่องพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นระยะ ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---สามารถตัดแต่งกิ่งเพื่อให้เป็นพุ่มแน่นได้ ตัดแต่งในฤดูใบไม้ผลิ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำทุกเดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 5-5-5 เดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานศัตรูพืชและโรค บางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากเพลี้ย เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์ /ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโรคอื่นนอกจากโรครากเน่า ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ พืชมักปลูกเป็นไม้ประดับคลุมดินในสวนเขตร้อนและเป็น house plant ในเขตอบอุ่น เป็นพืชที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Terrarium / Vivarium หรือสวนขวดที่ปลูกได้ง่ายและต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อย รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
สะระแหน่ประดับ/Pilea nummularifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pilea nummularifolia (Sw) Wedd.(1852) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Adicea nummulariifolia (Sw.) Kuntze.(1891) ---Urtica nummulariifolia Sw.(1787) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30268074-2#synonyms ชื่อสามัญ---Aaron's beard, Creeping charlie, Creeping-Charlie, Swedish Ivy ชื่ออื่น---สะระแหน่ประดับ ;[FRENCH: Ti tenn won.];[GERMAN: Münzenblättrige Kanonierblume.];[SPANISH: Hierba de culebra.];[SWEDISH: Hängpilea.];[THAI: Sa-ra-nae pradap.]. ชื่อวงศ์---URTICACEAE EPPO Code--- PILNU (Preferred name: Pilea nummularifolia.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง, อเมริกาใต้, แคริบเบียน Pilea nummularifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Urticaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Olof Peter Swartz (1760–1818) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนนักชีววิทยาและนักอนุกรมวิธาน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยHugh Algernon Weddell (1819–1877) นักพฤกษศาสตร์ที่เกิดในอังกฤษเติบโตในฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2395 Includes 2 Accepted Infraspecifics ;- ---Pilea nummulariifolia var. klugii Killip ---Pilea nummulariifolia var. nummulariifolia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ ( เวเนซุเอลา เปรู) และแคริบเบียน (รวมถึงฟลอริดา) ที่ระดับความสูง 800-2,500 เมตร ลักษณะ ไม้ยืนต้นคลุมดิน ลำต้นทอดเลื้อย สูง 15-30 ซม.ชูยอดตั้งขึ้น ใบรูปไข่เกือบกลมขนาด2-3ซม. แผ่นใบย่นคล้ายสะระแหน่ ออกดอกเป็นช่อกระจุก ตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกขนาดเล็กจำนวนมากสีขาวอมชมพู ก้านช่อดอกสั้น ผลแห้ง รูปไข่ เมล็ดล่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไรหรือครึ่งวันเช้า อุณหภูมิ 18ºC ถึง 27ºC ชอบดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี pH 6-7.5 การเจริญเติบโต เร็ว ปลูกใหม่ทุก 2-3 ปี การบำรุงรักษาค่อนข้างต่ำ การรดน้ำ---ชอบดินที่มีความชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำเมื่อดินชั้นบน 1″ แห้ง (อย่าให้ดินแห้งเกินกว่า 1 นิ้วใต้ผิวดิน) ต้องการความชื้นในระดับปานกลางถึงสูง 40-60% ควรใช้เครื่องพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นระยะ ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---เนื่องจากพืชโตเร็ว การตัดแต่งเพื่อรักษารูปทรงให้สวยงาม หากพบใบไม้ที่ตายหรือเสียหาย ให้ตัดออกทันที โดยตัดก้านใบกลับไปใกล้กับจุดที่ต่อกับก้านหลัก การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำทุกเดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 5-5-5 เดือนละครั้ง ฤดูหนาวงดการใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์สามารถใช้สำลีจุ่มแอลกอฮอล์ หรือน้ำมันสะเดาเช็ดถูออก ป้องกันไม่ให้แมลงเพิ่มจำนวนขึ้น ให้ฉีดพ่นเดือนละครั้งหรือมากกว่านั้นด้วยสบู่ฆ่าแมลง/ปัญหาโรคใบจุด Xanthomonas (แบคทีเรียในพืช) มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรคใบไหม้จากเชื้อรา เช่นโรคแอนแทรคโนสและลำต้นเน่า รักษาโดยใช้สารฆ่าเชื้อรา ชีวภาพ และ สารฆ่าเชื้อรา Liquid copper fungicides ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ พืชมักปลูกเป็นไม้ประดับคลุมดินในสวนเขตร้อนและเป็นhouse plant ในเขตอบอุ่น เป็นพืชที่ยอดเยี่ยมสำหรับ ปลูกเป็นไม้กระถางแขวน ใช้ใน Terrarium / Vivarium หรือสวนขวดแก้วปิดที่ปลูกได้ง่ายและต้องการการดูแลเพียงเล็กน้อย ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะปลูก Creeping Charlie ลงดินมันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและจะกลายเป็นวัชพืชรุกรานในไม่ช้า -ใช้กิน ใบสามารถกินได้และสามารถใช้ในชาได้ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำกิ่ง
|
ต้นไม้ในวงศ์อื่นๆที่นิยมนำมาปลูกในที่ร่มรำไร
สกุล Asparagus/Asparagus L.
สกุล Asparagus เป็นสมาชิกของครอบครัว Asparagaceae จำนวนสปีชีส์ที่แน่นอนในสกุลนี้ไม่แน่นอน โดยมีประมาณระหว่าง 120 และมากกว่า 300 สปีชีส์ ที่กระจายอยู่ทั่วโลกเก่าเป็นหลัก โดยมีจุดกระจายความหลากหลายในแอฟริกาใต้ ( Dahlgren et al., 1985 ; Kubota et al., 2012 ; Norup et al., 2558 ). แม้ว่าวงศ์หน่อไม้ฝรั่งจะมีรูปแบบชีวิตที่หลากหลาย เช่น ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ไม้พุ่มเนื้ออ่อน และเถาวัลย์ แต่หน่อไม้ฝรั่ง ทุก สายพันธุ์มีลักษณะพิเศษคือมีลำต้นสังเคราะห์แสง ( Kubota et al., 2012 )
เศรษฐีเรือนนอก/Chlorophyttum laxum
Phonetic Spelling : kloh-roh-FY-tum LAX-um
ชื่อวิทยาศาสตร์---Chlorophytum laxum R.Br. (1810) ชื่อพ้อง--- Has 14 Synonyms.See all The Plant List (http://www.theplantlist.org/) ---Anthericum bichetii hort. ex Backer. (1924), pro syn. ---Chlorophytum bichetii Backer, Handb (1924). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:532931-1#synonyms ชื่อสามัญ---Bichetii Grass, False Lily Turf, Wheat Plant, Siam Lily, St Bernard Lily, Loose Leaf Chlorophytum, Dwarf Spider Plant ชื่ออื่น---เศรษฐีเรือนนอก, ว่านเศรษฐีอินเดีย ;[CHINESE: Xiao hua diao lan.];[JAPANESE: Shamuorizururan.];[SWEDISH: Australisk ampellilja.];[THAI: Setthi ruean noak, Wan Setthi in-dia.];[VIETNAM: Lục thảo thưa, Cỏ lan chi.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code--- CFYBI (Preferred name: Chlorophytum laxum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ , เอเชียและออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Chlorophytum' มาจากคำภาษากรีกสองคำคือ 'chloros' = สีเขียว และ 'phuton' = พืช ซึ่งแปลว่าพืชสีเขียวอย่างแท้จริง Chlorophytum laxum เป็นสายพันธู์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Brown (1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2353 ที่อยู่อาศัย เอเชียตะวันตก อนุทวีปอินเดีย จีน อินโดจีน มาเลเซีย ;ออสเตรเลีย (ตะวันตกถึงควีนส์แลนด์) ;แอฟริกา (ชาด เอธิโอเปีย) ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าสั้นๆเป็นรากสะสมอาหารอวบน้ำจำนวนมากอยู่ใต้ดิน สูง 20-30 ซม.ใบเดี่ยวขนาด 10-25 x 0.8 ซม เรียงเวียน สลับรูปแถบ เนื้อใบบางปลายใบแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบเรียบ ผิวด้านบนสีเขียวเป็นมัน มีแถบขาวบริเวณขอบใบ เมื่อใบยาวเต็มที่จะห้อยโค้งลง ช่อดอกแบบช่อกระจะออกจากกอ ช่อละ 3-4 ดอก ดอกสีขาว หูใบสีเขียว ปลายแหลม โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดยาว ปลายแยก 6 แฉก กลีบดอกสีขาว เกสรเพศผู้สีขาว 6 อัน เกสรเพศเมียตรงกลาง 1 อัน ผลแคปซูล 5 x 6 มม. 3 แฉก เมล็ดขนาด 2.5 x 2 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงปานกลางร่มเงาบางส่วนหรือแสงแดดกรอง หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเพราะใบบอบบางจะขาดน้ำได้ง่ายและเหี่ยวเฉาทำให้สูญเสียความเงางามและสีหมอง อุณหภูมิที่เหมาะสมในช่วง 10° - 27°C ชอบดินทราย-ดินร่วนระบายน้ำได้ดีแม้ว่าจะปรับให้เข้ากับดินได้ทุกชนิด การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำและปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ ถ้าการให้น้ำน้อยเกินไป ความชื้นต่ำเกินไป เกลือมากเกินไปและมีฟลูออไรด์ส่วนเกินในน้ำ อาจทำให้ปลายใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลดการให้น้ำในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วและเหี่ยวเฉา การใส่ปุ๋ย--- ทุก 2 สัปดาห์หรือเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช--- ไรแดงและแมลงเกล็ด /ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโรคอื่นนอกจากโรครากเน่า โคนเน่า ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเลี้ยงเป็นไม้คลุมดินในที่ที่มีแสงแดดรำไร หรือปลูกในภาชนะ หรือปลูกเป็นไม้กระถางแขวน ปลูกในกระถางตั้งในอาคารช่วยฟอกอากาศจากมลพิษ -ใช้เป็นยา ในอินเดียใช้ใบและราก ใช้เป็นยาแผนโบราณในการรักษาอาการท้องร่วงและโรคบิดและยังใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ พิธีกรรม/ความเชื่อ---ใช้เป็นต้นไม้เสี่ยงทายฐานะของผู้ปลูกเลี้ยง หากเจริญเติบโตหน่อแตกกอ งอกงามดีแสดงว่าผู้เป็นเจ้าของจะเจริญรุ่งเรืองด้วยฐานะตามไปด้วย อีกทั้งเป็นว่านประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันอังคาร ท่านให้ปลูก ว่านเศรษฐีเรือนนอก ไว้ที่หน้าบ้าน่พื่อเสริมดวงชะตาและความเป็นสิริมงคลของชีวิต รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ระยะออกดอก/ติดผล--- กันยายน - ธันวาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ ปักชำไหล
เศรษฐีเรือนกลาง/Chlorophytum comosum
Picture: http://www.africanplants.senckenberg.de/root/index.php?page_id=78&id=5031
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Chlorophytum comosum (Thunb) Jacq.(1862) ชื่อพ้อง---Has 37 Synonys. ---Basionym: Anthericum comosum Thunb.(1794). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:532810-1#synonyms ชื่อสามัญ---Spider plant, Airplane plant, St. Bernard's lily, Spider ivy, Ribbon plant, Hen and chickens. ชื่ออื่น---ว่านเศรษฐี, เศรษฐีเรือนเขียว, เศรษฐีเรือนกลาง, เศรษฐีเรือนแก้ว ;[AFRIKAANS: Hen-met-kuikens.];[CHINESE: Diào lán.];[DUTCH: Graslelie.];[INDONESIA: Tanaman.];[FRENCH: Herbe vaudoise, Phalangère, Plante araignée, Rubanier.];[GERMAN: Fliegender Holländer, Grünlilie.];[ITALIAN: Falangio.];[JAPANESE: Oridzururan.];[KOREAN: Jeop ran.];[PORTUGUESE: Clorofito, Gravatinha, Planta-aranha.];[SPANISH: Cinta, Lazo, Malamadre, Ampellilja.];[SWEDISH: Ampellilja.[;[THAI: Setthi ruean klang.];[VIETNAM: Lục thảo trổ.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code--- CFYCO (Preferred name: Chlorophytum comosum.) ถิ่นกำเนิด---แอฟริกาใต้ เขตกระจายพันธุ์ ---เขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก'chloros'=สีเขียวและ 'phyton'=พืช ;ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'comosum' หมายถึง "ผม" โดยอ้างอิงถึงนิสัยที่เป็นกระจุกของพืช Chlorophytum comosum เป็นสายพันธู์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Peter Thunberg (1743–1828) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยNikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ , เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2405 ที่อยู่อาศัย Chlorophytum comosum เป็นหนึ่งในประมาณ 38 สายพันธุ์ของ Chlorophytum ในแอฟริกาใต้ และเป็นสายพันธุ์ที่มีการกระจายตามธรรมชาติที่แพร่หลายมากที่สุด โดยเติบโตที่ชายขอบของป่าฝน ตั้งแต่ตะวันตกและตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาเขตร้อนทางตอนใต้ ไปจนถึงแอฟริกาใต้ และยังได้แปลงสัญชาติเป็น กึ่งเขตร้อนส่วนอื่น ๆของโลก (W. Tropical Africa ถึง Cameroon, Ethiopia ถึง S. Africa) ที่ระดับความสูง 1,400-1,500 เมตร ลักษณะ เศรษฐีเรือนกลางหรือเรียกอีกอย่างว่า "เศรษฐีเรือนแก้ว" "เศรษฐีเรือนเขียว" เป็นสายพันธุ์ที่มีสีเขียวเข้มทั้งใบ ใบรูปแถบเนื้อใบบาง ปลายใบแหลม ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ออกดอกที่ละจำนวนมากๆ อยู่รวมกันเป็นช่อ สามารถเจริญเป็นต้นเล็กๆนำไปขยายพันธุ์โดยการปักชำได้ ผลเป็นแตปซูล สายพันธุ์ที่มีใบสีเขียวล้วนก่อให้เกิดพืชที่ขายได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่พบมากคือสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน (Varieties);- -C. comosum 'Vittatum' มีใบสีเขียวกลางใบมีแถบสีขาวตรงกลางกว้างมักจะขายในกระเช้าแขวนเพื่อแสดงลำต้นยาวมีสีขาว -C. comosum 'Variegatum' มีใบสีเขียวเข้มและมีขอบสีขาว โดยทั่วไปมีขนาดเล็กกว่า ลำต้นยาวมีสีเขียว -Chlorophytum cv. Milky Way พันธุ์ลูกผสม หรือที่เรียกว่า ทางช้างเผือก เป็นอีกต้นหนึ่งที่มีใบใหญ่กว่าและลายชัดกว่า ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงปานกลางร่มเงาบางส่วนหรือแสงแดดกรอง หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเพราะใบบอบบางจะขาดน้ำได้ง่ายและเหี่ยวเฉาทำให้สูญเสียความเงางามและสีหมอง อุณหภูมิที่เหมาะสมในช่วง 10° - 27°C ชอบดินทราย-ดินร่วนระบายน้ำได้ดีแม้ว่าจะปรับให้เข้ากับดินได้ทุกชนิด การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำและปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ ถ้าการให้น้ำน้อยเกินไป ความชื้นต่ำเกินไป เกลือมากเกินไปและมีฟลูออไรด์ส่วนเกินในน้ำ อาจทำให้ปลายใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลดการให้น้ำในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วและเหี่ยวเฉา การใส่ปุ๋ย--- ทุก 2 สัปดาห์หรือเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช--- ไรแดงและแมลงเกล็ด /ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโรคอื่นนอกจากโรครากเน่า โคนเน่า ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเลี้ยงเป็นไม้คลุมดิน ปลูกลงแปลงจัดสวนในที่ที่มีแสงแดดรำไร หรือปลูกในภาชนะ ปลูกเป็นไม้กระถางแขวน ปลูกในกระถางตั้งในอาคาร ช่วยฟอกอากาศจากมลพิษ ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ ทั้ง หรือ พิธีกรรม/ความเชื่อ---จัดเป็นทั้งว่านเมตามหานิยม ว่านป้องกันภัย ว่านเสริมสิริมงคล และว่านเสริมโชค เสริมลาภ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ ปักชำไหล
เศรษฐีเรือนใน/Chlorophytum comosum 'Vittatum'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Chlorophytum comosum 'Vittatum' ชื่อพ้อง ---No synonym are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Variegated Spider plant, Variegated Spider ivy, Variegated Ribbon plant. ชื่ออื่น---ว่านเศรษฐีเรือนใน ;[THAI: Wan setthi ruean nei.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code--- CFYCO (Preferred name: Chlorophytum comosum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้และเขตร้อนทั่วโลก นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก'chloros'=สีเขียวและ 'phyton'=พืช ;ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'comosum' หมายถึง "ผม" โดยอ้างอิงถึงนิสัยที่เป็นกระจุกของพืช ; ชื่อพันธุ์ 'Vittatum' = มีลักษณะเป็นใบโค้งมน ใบรูปใบหอก ขอบใบสีเขียวและแถบกลางสีขาวครีม Chlorophytum comosum 'Vittatum' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของ Chlorophytum comosum สายพันธู์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) สกุล Chlorophytum ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 30-60 ซม. มีรากเป็นเนื้อยาวประมาณ 5-10 ซม.ใบสีเขียวมีแถบกลางสีขาวยาว 20–45 ซม.และกว้างประมาณ0. 6–2.5 ซม. ช่อดอกสีขาวอมเหลืองอ่อนยาวและแตกแขนงซึ่งสามารถมีความยาวได้ถึง 75 ซม. สามารถเจริญเป็นต้นเล็กๆนำไปขยายพันธุ์โดยการปักชำได้ ผลเป็นแตปซูล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่นสามารถเพาะปลูกกลางแจ้งได้ ในพื้นที่เขตร้อนต้องการแสงปานกลางร่มเงาบางส่วนหรือแสงแดดกรอง หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดเพราะใบบอบบางจะขาดน้ำได้ง่ายและเหี่ยวเฉาทำให้สูญเสียความเงางามและสีหมอง อุณหภูมิที่เหมาะสมในช่วง 12° - 21°C ชอบดินทราย-ดินร่วนระบายน้ำได้ดีแม้ว่าจะปรับให้เข้ากับดินได้ทุกชนิด การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำและปล่อยให้ดินแห้งเล็กน้อยระหว่างการรดน้ำ ถ้าการให้น้ำน้อยเกินไป ความชื้นต่ำเกินไป เกลือมากเกินไปและมีฟลูออไรด์ส่วนเกินในน้ำ อาจทำให้ปลายใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลดการให้น้ำในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ทนแล้ง การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วและเหี่ยวเฉา การใส่ปุ๋ย--- ทุก 2 สัปดาห์หรือเดือนละครั้งด้วยปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานศัตรูพืชและโรคพืช อาจพบ แมลงหวี่ขาว ไรเดอร์ เกล็ด และเพลี้ยอ่อน /อ่อนแอต่อโรครากเน่าได้หากน้ำขัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเลี้ยงเป็นไม้คลุมดิน ปลูกลงแปลงจัดสวนในที่ที่มีแสงแดดรำไร หรือปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถางแขวน ปลูกในกระถางตั้งในอาคาร สำนักงาน ช่วยฟอกอากาศจากมลพิษ พิธีกรรม/ความเชื่อ---จัดเป็นทั้งว่านเมตามหานิยม ว่านป้องกันภัย ว่านเสริมสิริมงคล และว่านเสริมโชค เสริมลาภ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก---ฤดูร้อน/ฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ ปักชำไหล
เศรษฐีขอดทรัพย์/Ophiopogon Jaburan
Phonetic Spelling: oh-fee-oh-POH-gon JA-bur-an
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ophiopogon jaburan (Siebold) Lodd.(1894) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Flueggea jaburan (Siebold) Kunth.(1850) ---Mondo jaburan (Siebold) LHBailey.(1929) ---Mondo taquetii (H.Lév.) Farw.(1921) ---Ophiopogon taquetii H. Lev.(1910) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:429779-1#synonyms ชื่อสามัญ---Mondo Grass, White Lily Turf, Giant lilyturf, White mondo, Mondo Snakesbeard. ชื่ออื่น---เศรษฐีขอดทรัพย์, ว่านเศรษฐีกอบทรัพย์ ;[CHINESE: Jian ye yan jie cao.];[GERMAN: Großer Schlangenbart.];[JAPANESE: Noshi-ran.];[KOREAN: Maek mun a jae bi.];[PORTUGUESE: Ofiopógão.];[THAI: Setthi khot-sap, Wan setthi kop-sap.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code--- OPPJB (Preferred name: Ophiopogon jaburan.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออก, ตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ophiopogon' จากคำภาษากรีก (Όφις ophis) = งู และ(πόγὦν pogon) = เครา เนื่องจากลักษณะของใบและการเจริญเติบโตเป็นกระจุก Ophiopogon jaburan เป็นสายพันธุ์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Philipp Franz von Siebold (1796−1866; Siebold ) นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Loddiges (1784-1846) นักพฤกษศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2437 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก, ตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ [เกาหลี (รวมถึง Jeju-do), W. Central & S. Japan ถึง Nansei-shoto] ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปีมีลำต้นเป็นหัวใต้ดิน หัวมีลักษณะคล้ายหัวหอม ลักษณะกลม เปลือกหุ้มด้านนอกมีสีขาว และเนื้อหัวด้านในมีสีขาว หัวที่แก่เต็มที่จะแตกหัว และเกิดเป็นต้นใหม่ได้ ก้านใบแผ่ออกเป็นกาบโอบหุ้มลำต้น สูง 15-30 ซม.ใบบางสีเขียวเข้ม เป็นมัน แผ่นใบกว้าง 0.5-1 ซม.ใบยาวประมาณ 30-60 ซม. แผ่น และขอบใบเรียบใบอ่อนมีลักษณะตั้งตรงอยู่เป็นกลุ่มตรงกลาง ใบแก่อยู่วงนอกของกอ มีปลายใบม้วนงอเป็นเกลียว และโค้งลง ดอกมีลักษณะเป็นช่อ แทงออกตรงกลางของหัว ช่อดอกชูตั้งขึ้น ส่วนปลายโค้งลงเล็กน้อย แต่ละช่อมี 6–20 ดอก ดอกสีม่วง/ลาเวนเดอร์ ผลสดแบบมีเนื้อรูปขอบขนานสีฟ้าอมม่วง มีเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่โล่งแจ้งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือแสงแดดส่องถึงครึ่งวันช่วงเช้า (แสงแดดส่องโดยตรงเพียงบางส่วนของวัน 2-6 ชั่วโมง.) หรือแสงสว่างทางอ้อม อุณหภูมิเฉลี่ย 10-20 ºC ชอบดินร่วนปนทรายมีอินทรีย์วัตถุสูง ที่ระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---พอประมาณรอให้หน้าดินแห้งก่อนค่อยรดน้ำ และอย่าปล่อยให้พื้นผิวดินแห้งสนิทเป็นเวลานาน ไม่ทนแล้ง และไม่ทนน้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง หากพบใบไม้ที่ตายหรือเสียหาย ให้ตัดออกทันที การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำทุกเดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 5-5-5 เดือนละครั้ง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้า (ปุ๋ยสามเดือน) ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคทั่วไป บางครั้งอาจได้รับผลกระทบจากเพลี้ย เพลี้ยแป้ง และไรเดอร์ /ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโรคอื่นนอกจากโรครากเน่า โคนเน่า เนื่องจากการให้น้ำมากเกินไปหรือการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้คลุมดินในที่ร่มรำไรลงแปลงเป็นกลุ่ม แต่มักนิยมปลูกในกระถางตั้งหน้าบ้านหรือร้านค้าเป็นหลัก สามารถปลูกเป็นไม้ประดับในกระถางสำหรับตั้งในห้องหรืออาคารเพื่อฟอกอากาศได้ -ใช้เป็นยา ใช้แบบดั้งเดิมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของหยินในการแพทย์แผนจีน รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ความเชื่อ/พิธีกรรม---นิยมปลูกเป็นไม้เสี่ยงทาย ถ้าใบงอขอดมากๆก็จะมีโชคลาภร่ำรวยและมีเสน่ห์ทางมตตามหานิยม ระยะออกดอก---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ แบ่งหัวชำ
เศรษฐีก้านทอง/Chlorophytum filipendulum subsp. amaniense
หนวดปลาดุกแคระ/Ophiopogon Japonicus 'Kyoto Dwarf'
Phonetic Spelling: oh-fee-oh-POH-gon jah-PON-ih-kus
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ophiopogon Japonicus (L.f) Ker Gawl. cv Kyoto Dwarf. ชื่อพ้อง---Ophiopogon Japonicus 'Kyoto Dwarf ' ชื่อสามัญ---Super Dwarf Mondo Grass, Dwarf lilyturf, Mondo-grass, Mini Mondo Grass, Snake's-beard. ชื่ออื่น---หนวดปลาดุกแคระ ;[CHINESE: Mai men dong.];[CZECH: Sedoulek japonský, Ofiopogon.];[JAPABESE: Ryu-no-hige, Ja-no-hige.];[KOREA: So yeop maek mun dong.];[FRENCH: Muguet du Japon.];[GERMAN: Japanischer Schlangenbart.];[PORTUGUESE: Grama-preta, Mini-grama-preta, Pelo-de-urso.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code--- OPPJA (Preferred name: Ophiopogon Japonicus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Ophiopogon" มาจากภาษากรีก 'ophis' = งูและ 'pogon' = เครา ; ชื่อสายพันธุ์ 'Japonicus' หมายถึงญี่ปุ่นในการอ้างอิงถิ่นที่อยู่ Ophiopogon Japonicus 'Kyoto Dwarf' เป็นพันธุ์ลูกผสม (Hybrid variety) ของ Ophiopogon Japonicus สายพันธุ์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeusและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยJohn Bellenden Ker Gawler (1764–1842) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2550 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ป่าไม้ในญี่ปุ่น อินเดีย จีน เวียตนาม กระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่น ลักษณะ เป็นไม้คลุมดินรูปแบบแคระแกร็นที่สุดในบรรดาหญ้ามอนโด สูงไม่เกิน 4-5 ซม.ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับแน่น รูปแถบแคบปลายแหลม โคนแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบเรียบ ผิวด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันเมื่อใบยาวเต็มที่แล้วจะห้อยโค้งลงเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อกระจะ ดอกรูประฆัง สีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการที่โล่งแจ้งแสงแดดจัดถึงครึ่งวันช่วงเช้าหรือแสงสว่างทางอ้อม [ในที่ร่มเล็กน้อยถึงบางส่วน (แสงแดดโดยตรงเพียง 2-6 ชั่วโมงต่อวัน) ไปจนถึงที่ร่มรำไรหรือปานกลาง (ใต้ร่มเงาของพืชชนิดอื่น) ไปจนถึงแสงแดดส่องถึงโดยตรง (มากกว่า 6 ชั่วโมงแสงแดดโดยตรงต่อวัน).] ชอบดินร่วนปนทรายที่ชื้นและระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การรดน้ำ---ความต้องการน้ำค่อนข้างต่ำถึงปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอในแต่ละสัปดาห์และมากกว่านั้นในช่วงฤดูร้อน การตัดแต่งกิ่ง---หากพบใบไม้ที่ตายหรือเสียหาย ให้ตัดออกทันที สามารถตัดหญ้าได้ในช่วงปลายฤดูหนาว การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยน้ำทุกเดือนโดยใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 5-5-5 เดือนละครั้ง หรือใช้ปุ๋ยละลายช้า (ปุ๋ยสามเดือน) ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างปลอดศัตรูพืช บางครั้งอาจพบเพลี้ย เพลี้ยแป้ง ระวังหอยทาก/ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากโรคอื่นนอกจากโรครากเน่า โคนเน่า เนื่องจากดินมีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นพืชคลุมดินที่มีการบำรุงรักษาต่ำและมีลักษณะคล้ายหญ้าประดับเพื่อความร่มรื่นของภูมิทัศน์ นิยมใช้ในการจัดสวนญี่ปุ่น ปลูกแทนหญ้าในบริเวณที่ปลูกหญ้าไม่ได้หรือตัดหญ้าไม่สะดวก รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---กรกฏาคม-สิงหาคม/กันยายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์--- แยกกอ
ปริกน้ำค้าง/Asparagus densiflorus 'Sprengeri Group'
Phonetic Spelling: ah-SPAIR-ah-gus den-sih-FLOR-us
ชื่อวิทยาศาสตร์---Asparagus densiflorus (Kunth) Jessop 'Sprengeri Group' ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyme ---Asparagus sprengeri Regel.(1890) ชื่อสามัญ---Sprenger's asparagus fern, Asparagus fern, Coarse asparagus fern, Foxtail fern, Regal fern, Emerald Feather, Emerald Fern, Lace Fern, Plumosa Fern, Racemose Asparagus, Shatavari, Sprengeri Fern. ชื่ออื่น---ปริกน้ำค้าง, ปริก ;[AUSTRALIA: Fern asparagus, Sprengeri's fern.];[CHINESE: Fei zhou tian men dong.];[DUTCH: Hangasperge.];[FRENCH: Asperge de Sprenger.];[GERMAN: Zier- Spargel.];[GHANA: Badji badji, Gbadgi gbadgi.];[JAPANESE: Asuparagasu.];[NETHERLANDS: Asperge, hang-.];[PORTUGUESE: Aspargo-rabo-de-gato.];[SPANISH: Esparraguera, Esparraguera africana.];[SWEDISH: Natalsparris.];[THAI: Prik nam khang, Prik.];[USA: Sprenger's asparagus fern.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE [ชื่อเดิม Liliaceae] EPPO Code---ASPSP (Preferred name: Asparagus densiflorus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ กรีซ ปากีสถาน อินเดีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Asparagus' เป็นชื่อดั้งเดิมของพืชชนิดนี้;ชื่อสายพันธุ์ 'densiflorus'หมายถึงวิธีการที่ดอกไม้ขนาดเล็กบรรจุหนาแน่นตามลำต้นของพืช ; ชื่อพ้นธุ์ 'Sprengeri'ได้รับการตั้งชื่อตาม Karl Sprenger(l847-1918) เจ้าของ เนอสเซอรี่ชาวอิตาลี Asparagus densiflorus 'Sprengeri Group' เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธุ์ African Asparagus ที่คล้ายกันและเกี่ยวข้องกัน ได้แก่ Asparagus aethiopicus ("Sprenger's asparagus") สายพันธุ์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิด โมซัมบิก (Inhaca Is.) สวาซิแลนด์ แอฟริกาใต้ แนะนำ (เพาะปลูก) ในกรีซ ปากีสถาน อินเดีย ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์) ลักษณะ เป็นไม้คลุมดินต้นเล็กแตกกิ่งก้านจากลำต้นและชี้ตั้งขึ้น อาจมีกิ่งย่อยหรือไม่มี พืชมีอายุยืนยาว 2-5 ปี มีระบบรากที่เป็นเหง้า มีรากเป็นเส้นใยยาวรูปไข่สีขุ่น หัวสีครีมเบจตลอดทั้งรากด้านข้าง ซึ่งช่วยให้พืชอยู่รอดจากความแห้งแล้งได้เป็นเวลานาน และยังช่วยให้พวกมันสามารถเกิดใหม่ได้หากลำต้นได้รับความเสียหายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ความสูง 0.50-1 เมตร พุ่มกว้างได้ถึง 0.20-0.50 เมตร ใบจริงเปลี่ยนเป็นหนามเล็กๆ ส่วนที่ดูคล้ายใบคือส่วนของลำต้น ลักษณะเป็นรูปแถบหรือรูปเข็ม ปลายแหลมแข็งสีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมชมพูขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงสีเขียว 6 กลีบ กลีบดอก 6 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม แผ่นกลีบหงายออก ก้านชูเกสรเพศผู้ชี้ยาว เห็นอับเรณูสีส้มชัดเจน 6 เกสร เกสรเพศเมียขนาดใหญ่ตรงกลาง ผลทรงกลมมีเนื้อเมื่อสุกสีแดง เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 มม. มีเมล็ด 1-2 (3) เมล็ดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงร่มรำไร พืชที่ปลูกในที่ที่มีแสงแดดจัดจะมีขนาดกะทัดรัดและหนาแน่นกว่าพืชที่ปลูกในที่ร่ม เติบโตได้ในดินธรรมดาและแม้แต่ดินที่ไม่ดี pH ในช่วง 6-7 ทนได้ 5.5-7.5 การบำรุงรักษาอยู่ในระดับต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำในระดับปานกลาง โดยปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาวเนื่องจากระบบรากของพืชมีรากที่หนาและบวมซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---เพื่อรักษาความสูงและรูปร่าง ให้บีบปลายก้านกลับเข้าไป สิ่งนี้จะช่วยให้พืชมีความหนาแน่นมากขึ้น หากไม่เพียงพอเพื่อให้ได้รูปแบบที่ต้องการ สามารถตัดต้นไม้ลงจนถึงระดับดินได้ จากนั้นพืชจะเริ่มงอกใหม่ การใส่ปุ๋ย---ไม่ควรใช้ปุ๋ยเคมีบ่อยหรือรุนแรง ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเติมสารอาหารตามธรรมชาติในดินเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไร ทาก และเพลี้ยแป้ง มักพบในพืชชนิดนี้เป็นประจำ/ ระวังใบจุดและรากหรือโคนเน่า การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมสำหรับสวนและภูมิทัศน์สามารถใช้กลางแจ้งในสวนที่มีการปลูกเป็นพื้นคลุมดิน สามารถปลูกพืชรวมกันได้ดีกับพืชที่ชอบร่มเงาอื่น ๆนอกจากนี้ยังใช้ปลูกในภาชนะ/กระถางอยู่บนชานบ้าน รู้จักอันตราย---ผลเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดความเป็นพิษต่ำหากกินโดยมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆหรือหากสัมผัสแรงๆจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังเล็กน้อยซึ่งไม่คงอยู่ได้นานนัก ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน/ฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
ปริกหางกระรอก/Asparagus densiflorus ‘Meyersii’
Phonetic Spelling: ah-SPAIR-ah-gus den-sih-FLOR-us
ชื่อวิทยาศาสตร์---Asparagus densiflorus ‘Meyersii’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ--- Cat's tail asparagus, Asparagus fern, Basket Asparagus. ชื่ออื่น---ปริกหางกระรอก ;[AFRIKAANS: Katstert.];[PORTUGUESE: Aspargo-pendente, Aspargo-pluma, Aspargo-rabo-de-gato, Aspargo-zigue-zague.];[SWEDISH: Natalsparris, Hängsparris.];[THAI: Prik hang kra rok.]. ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---ASPSP (Preferred name: Asparagus densiflorus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Asparagus ' เป็นชื่อดั้งเดิมของพืชชนิดนี้; ชื่อสายพันธุ์ 'densiflorus' หมายถึง วิธีการที่ดอกไม้ขนาดเล็กบรรจุหนาแน่นตามลำต้นของพืช; ชื่อพันธุ์ 'Meyersii' เป็นชื่อทางการค้าตามชื่อ Meyersman จาก East London ผู้ซึ่งนำรูปแบบที่กะทัดรัดและตั้งตรงนี้มาใช้ในการปลูกพืชสวน Asparagus densiflorus ‘Meyersii’ เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Asparagus densiflorus สายพันธุ์พืชดอกครอบครัววงศ์หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagaceae) สกุล Asparagus ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์ของพืชป่าขนาดเล็กตามธรรมชาติที่พบใน Eastern Cape เป็นหลักบนโขดหิน ป่าโปร่ง ทุ่งหญ้าสะวันนา และพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกาใต้ ชนิดนี้ถือว่ารุกรานในออสเตรเลีย และบางส่วนของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งฟลอริดา ฮาวาย และแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ลักษณะ เป็นพืชไม้คลุมดินที่มีอายุยืนยาว มีระบบรากที่เป็นเหง้ามีรากเป็นเส้นใยยาวลักษณะเป็นรูปไข่สีขุ่นหัวสีครีมเบจตลอดทั้งรากด้านข้างซึ่งช่วยให้พืชอยู่รอดจากความแห้งแล้งได้เป็นเวลานานและยังช่วยให้พวกมันสามารถเกิดใหม่ได้หากลำต้นได้รับความเสียหาย ความสูง 30-60 ซม.ทรงพุ่มกว้าง 40-70 ซม. มีลำต้นคล้ายใบ รูปเข็ม สีเขียวเข้มออกรอบๆกิ่ง แต่ละกิ่งจึงดูเป็นแท่งทรงกระบอก ปลายเรียวแหลมคล้ายหางกระรอก ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมชมพู ดอกขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงสีเขียว 6 กลีบ กลีบดอก 6 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม แผ่นกลีบหงายออก ก้านชูเกสรเพศผู้ชี้ยาว เห็นอับเรณูสีส้มชัดเจน 6 เกสร เกสรเพศเมียขนาดใหญ่ตรงกลาง ผลเบอร์รี่ทรงกลมสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 มม เมื่อสุกสีแดงมีเมล็ดเดียวกลมแข็งสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงร่มรำไร พืชที่ปลูกในที่ที่มีแสงแดดจัดจะมีขนาดกะทัดรัดและหนาแน่นกว่าพืชที่ปลูกในที่ร่ม เติบโตได้ในดินธรรมดาและแม้แต่ดินที่ไม่ดี pH ในช่วง 6-7 ทนได้ 5.5-7.5 การบำรุงรักษาอยู่ในระดับต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำในระดับปานกลาง โดยปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำและให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาวเนื่องจากระบบรากของพืชมีรากที่หนาและบวมซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---เพื่อรักษาความสูงและรูปร่าง ให้บีบปลายก้านกลับเข้าไป สิ่งนี้จะช่วยให้พืชมีความหนาแน่นมากขึ้น หากไม่เพียงพอเพื่อให้ได้รูปแบบที่ต้องการ สามารถตัดต้นไม้ลงจนถึงระดับดินได้ จากนั้นพืชจะเริ่มงอกใหม่ การใส่ปุ๋ย---ไม่ควรใช้ปุ๋ยเคมีบ่อยหรือรุนแรง ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเติมสารอาหารตามธรรมชาติในดินเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไร ทาก และเพลี้ยแป้ง มักพบพืชชนิดนี้เป็นประจำ/ ระวังใบจุดและรากหรือโคนเน่า ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมสำหรับสวนและภูมิทัศน์สามารถใช้กลางแจ้งในสวนที่มีการปลูกเป็นพื้นคลุมดิน สามารถปลูกพืชรวมกันได้ดีกับพืชที่ชอบร่มเงาอื่น ๆนอกจากนี้ยังใช้ปลูกในภาชนะ / กระถางอยู่บนชานบ้านและเป็นพืชในบ้าน และยังเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้เป็นไม้ตัดใบสำหรับจัดดอกไม้ด้วย รู้จักอันตราย---ผลเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดความเป็นพิษต่ำหากกินโดยมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นหรือหากสัมผัสแรงๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังเล็กน้อยซึ่งไม่คงอยู่ได้นานนัก ระยะออกดอก/ติดผล---ปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน/สุกในฤดูใบไม้ร่วง ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) 1993 ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
โปร่งฟ้า/Asparagus setaceus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Asparagus setaceus (Kunth) Jessop (1966) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms ---Basionym: Asparagopsis setacea Kunth.(1850) ---Asparagus plumosus Baker.(1875) ---Protasparagus setaceus (Kunth) Oberm.(1983) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:531312-1#synonyms ชื่อสามัญ---Common asparagus fern, Asparagus grass, Lace fern, Climbing asparagus, Ferny asparagus ชื่ออื่น---โปร่งฟ้า, ลอดฟ้า, หัสคุณดง ;[AFRIKAANS: Aspersievaring.];[CHINESE: Wen zhu.];[CUBA: Espárrago espumoso; Pinito de amor, Tuya sensible.];[DEUTSCH: Feder-Spargel.];[DOMINICAN: Céfiro.];[DUTCH: Pluimasperge.];[FRENCH: Asperge plumeuse.];[GERMAN: Zier- Spargel.];[HAITI: Mousseline.];[HEBREW: Asparag menutze.];[INDONESIA: Perampun.];[JAPANESE: Oomidoribouki.];[PORTUGUESE: Aspargo-de-jardim, Aspargo-plumoso, Aspargo-samambaia, Espargo-de-jardim, Espargo-de-folhas-miúdas, Espargo-feto, Melindre, Melindro.];[PUERTO RICO: Abeto, Ala de pájaro, Helecho plumoso.];[SPANISH: Creston, Helecho de agua.];[THAI: Prong faa.];[TONGA:Tāupoʻou.];[VIETNAM: Măng leo.] ชื่อวงศ์---ASPARAGACEAE EPPO Code---ASPPL (Preferred name: Asparagus setaceus.) syn (Asparagus plumosus) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันออกและตอนใต้ ; เอธิโอเปีย เคนยา แทนซาเนีย แซมเบีย มาลาวี โมซัมบิก บอตสวานา ซิมบับเว สวาซิแลนด์ แอฟริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Asparagus ' เป็นชื่อดั้งเดิมของพืชชนิดนี้; ชื่อสายพันธุ์มาจากภาษาละติน 'saeta' = "hair" หรือ "bristle" หมายถึง "hairy" อ้างอิงถึงใบไม้ที่คล้ายขน Asparagus setaceus เป็นสายพันธู์พืชดอกครอบครัว Asparagaceae (วงศ์หน่อไม้ฝรั่ง) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Peter Jessop (เกิดปี 1939) นักพฤกษศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ.2509
Picture: https://plantingman.com/asparagus-setaceus/ ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตอนใต้ขยายไปทางตะวันตกเฉียงใต้จนถึงCalitzdorpใน Karoo เติบโตในแหล่งที่อยู่อาศัยแบบเปิดชื้นที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1880 เมตร มีการค้ากันอย่างแพร่หลายในฐานะไม้ประดับและสามารถพบได้ในประเทศจีน อิตาลี สเปน โปรตุเกส สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง หมู่เกาะเวสต์อินดีส อเมริกาใต้และบนเกาะต่างๆในภูมิภาคแปซิฟิกและมักหลบหนีจากการเพาะปลูกในหลายพื้นที่ มันกลายเป็นวัชพืชร้ายแรงในบางแห่งซึ่งสามารถบุกรุกป่าพื้นเมืองได้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อยมีอายุยืนยาว มีระบบรากที่เป็นเหง้า ลำต้นมีหนามยาวได้ถึง 5 เมตร กิ่งก้านยาวทอดเลื้อยสามารถปักหลักผูกเป็นทรงพุ่มได้ ลำต้นที่คล้ายใบเป็นฝอยละเอียดแผ่แบนเป็นรูปสามเหลี่ยม สีเขียวอมน้ำเงิน ส่วนใบที่แท้จริงของพืชชนิดนี้มีเกล็ดแห้งเล็ก ๆ โครงสร้างที่ดูเหมือนจะเป็นใบไม้คือหน่อที่แบนราบ (ลำต้นที่ถูกดัดแปลง) เรียกว่า cladodes หรือ cladophylls ซึ่งดอกไม้และผลเกิดขึ้นจาก Cladophylls โผล่ขึ้นมาจากซอกใบระหว่างลำต้นดอกออกเป็นช่อตั้ง ดอกรูประฆังสีขาวอมเขียวขนาดเล็กมีความยาว 0.4 ซม. มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสีเขียวขนาดเล็กเมื่อสุกสีดำหรือสีน้ำเงินอมดำ มีเมล็ด1-3เมล็ด ขนาด 2.5-3.5 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ง่ายในตำแหน่งแสงแดดจัดจนถึงที่ร่ม ดีที่สุดในแสงแดดรำไร แสงไม่เพียงพออาจทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและทำให้ใบร่วงได้ อุณหภูมิระหว่าง 13ºC ถึง 24ºC เหมาะสำหรับดินประเภทต่างๆเช่นดินทราย ดินร่วนและดินเหนียวที่มีค่า pH ตั้งแต่ 5.6 ถึง 7.8 อย่างไรก็ตามต้องใช้ดินที่มีการระบายน้ำดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำในระดับปานกลาง โดยปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และให้น้ำน้อยลงในฤดูหนาวเนื่องจากระบบรากของพืชมีรากที่หนาและบวมซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อให้คงขนาดและรูปร่างตามต้องการ การใส่ปุ๋ย---ไม่ควรใช้ปุ๋ยเคมีบ่อยหรือรุนแรง ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเติมสารอาหารตามธรรมชาติในดินเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง ระวังไร ทาก และเพลี้ยแป้ง มักพบพืชชนิดนี้เป็นประจำ/ใบจุดและรากหรือโคนเน่า อย่ารดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมสำหรับสวนและภูมิทัศน์สามารถใช้กลางแจ้งในสวนที่มีการปลูกเป็นพื้นคลุมดิน สามารถปลูกพืชรวมกันได้ดีกับพืชที่ชอบร่มเงาอื่น ๆนอกจากนี้ยังใช้ปลูกในภาชนะ กระถางอยู่บนชานบ้านและเป็นพืชในบ้าน (House plant) และยังเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้เป็นไม้ตัดใบสำหรับการจัดดอกไม้ด้วย -ใช้เป็นยา สารสกัดจากหน่อ ใช้สำหรับโรคหัวใจ ในขณะที่ยาต้มราก ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ มีรายงานว่าพืชแห้งมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ ใช้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย ( PROTA, 2016 ; USDA-ARS, 2016 ) รู้จักอันตราย---ผลเบอร์รี่สามารถก่อให้เกิดความเป็นพิษต่ำหากกินโดยมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นหรือหากสัมผัสแรงๆ จะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังเล็กน้อยซึ่งไม่คงอยู่ได้นานนัก ระยะออกดอก---ปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน/สุกในฤดูใบไม้ร่วง ได้รับรางวัล--- AGM (The Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ (เมล็ดใช้เวลาในการงอก 3 - 6 สัปดาห์)
ขิงม่วง/Dichorisandra thrysiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Dichorisandra thyrsiflora J.C.Mikan.(1820). ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Dichorisandra ovata Paxton.(1849), nom. illeg. ---Stickmannia thyrsiflora (JCMikan) Kuntze.(1891). ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/79533-2#synonyms ชื่อสามัญ----Blue Flower Bamboo, Blue Ginger, Brazilian Ginger, Queen spiderwort, Tropical Blue Ginger ชื่ออื่น----ขิงม่วง ;[GERMAN: Blauer Ingwer.];[SPANISH: Jengibre Azul.];[SWEDISH: Blåtrio.];[THAI: Khing mouang.] ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE EPPO Code--- DHATH (Preferred name: Dichorisandra thyrsiflora.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dichorisandra' ที่มาจากภาษากรีกคำ 'Dis' = สอง 'Chori' = ที่แยกต่างหากและ 'andros' = อับละอองเกสร อ้างอิงถึงการจัดเรียงเกสรเพศผู้บนดอกไม้แต่ละดอก ; ชื่อสายพันธุ์ 'thyrsiflora' มาจากคำภาษาละติน 'thyrse' = ช่อกระจุกรูปลูกฟุตบอล และ 'flora' = ดอกไม้ โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของช่อดอก ; ชื่อสามัญ 'Blue Ginger' ในความเป็นจริงพืชชนิดนี้จัดอยู่ในวงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ไม่ใช่วงศ์ขิง (Zingiberaceae) มีรายงานว่ามีลักษณะคล้ายกับดอกขิงสีน้ำเงิน จึงเป็นชื่อสามัญที่ค่อนข้างสับสน Dichorisandra thyrsiflora เป็นสายพันธุ์พืชดอกครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Christian Mikan (1769–1844) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2363 ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองของบราซิล (Bahia, Minas Gerais, Rio de Janeiro) แนะนำ (เพาะปลูก) ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย (ชวา) เปรู ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม มีอายุยืนยาวลำต้นตั้งตรงสูงถึง 1- 2 เมตร มีรากสั้นและมีไรโซมเรียงกันเป็นเกลียว ใบรูปขอบขนานยาว 15–30 ซม.กว้าง 5–13 ซม.เรียงสลับในระนาบเดียวกัน สีเขียวเข้มเป็นมัน ช่อดอกออกที่ยอด รูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 20-30 ซม.ดอกสีฟ้าอมม่วง โคนกลีบสีขาว ผลเป็นแคปซูล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มหรือในแสงกรองที่สว่างและมีความชื้นสูง ต้องการที่กำบังลมแรง ชอบดินที่ชื้นแต่มีการระบายน้ำได้ดี pH 6-6.5 การรดน้ำ---รดน้ำสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ พักตัวในฤดูหนาว ลดการให้น้ำทางดิน แต่ให้ความชื้นทางใบ โดยใช้สเปรย์น้ำเป็นระยะ การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอ ตัดใบไม้ที่เป็นสีน้ำตาลหรือเหลืองออก กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยน้ำเจือจางสูตรสมดุลทุกเดือน ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงปากกัดและแมลงปากดูด/ไวต่อโรครากเน่า ในดินที่ชื้นและมีน้ำขังมากเกินไป อาจได้รับผลกระทบจากโรคใบเงิน,โรคแคงเกอร์ แบคทีเรียดอกเหี่ยว และผลเน่าสีน้ำตาล ใช้ประโยชน์---ใฃ้ปลูกประดับ ใช้ปลูกลงดินเป็นกลุ่มหรือปลูกในภาชนะสำหรับการเจริญเติบโตในร่มเป็น houseplant รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ได้รับรางวัล--- AGM (The Royal Horticultural Society’s Award of Garden Merit.) 2018 ขยายพันธุ์--เพาะเมล็ด ปักชำ เหง้า
|
สกุลสาวน้อยประแป้ง/Dieffenbachia Schott
สกุลDieffenbachia เป็นประเภทของ พืชดอก ในครอบครัว Araceae (วงศ์บอน) ได้รับการตั้งชื่อโดย Heinrich Wilhelm Schott ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ในเวียนนาเพื่อเป็นเกียรติแก่ แพทย์ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792-1847) พืช สกุลนี้เรียกกันทั่วไปว่า สาวน้อยประแป้ง เป็นไม้พุ่มอายุหลายปี ลำต้นอวบน้ำตั้งตรง เห็นข้อปล้องชัดเจน ภายในมีน้ำยางที่เป็นพิษ หากกินเข้าไปจะทำให้เป็นใบ้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ไอ้ใบ้" หรือ Dumb Cane ใบรูปรีหรือขอบขนานออกเวียนสลับรอบต้น มีลวดลายแตกต่างกันไป ช่อดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด มีกาบรองดอกหุ้มปลีดอกเอาไว้ ผลกลมเมื่อสุกสีส้มหรือแดง ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดรำไรถึงครึ่งวันฃยายพันธุ์ง่ายโดยการตัดยอดหรือลำต้นมาปักชำเวลาตัดยอดหรือลำต้นมาเพื่อขยายพันธุ์ต้องปล่อยให้ยางแห้งก่อนแล้วใช้ปูนแดงหรือยาฆ่าเชื้อราป้ายทิ้งไว้ก่อนนำมาปักชำต้องระวังอย่าให้น้ำมากเกินไปเพราะอาจทำให้ลำต้นเน่าหรือรากเน่าได้ สาวน้อยประแป้งถือเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกกันมากในอดีตปัจจุบันที่ยังเห็นกันอยู่ ดูตามนี้
ช้างเผือก/Dieffenbachia seguine f. barraquiniana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dieffenbachia seguine f. barraquiniana (Verschaff. & Lem.) Engl.(1878) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Dieffenbachia seguine (Jacq.) Schott.(1832) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/1042307-2 ชื่อสามัญ---Dumb cane, Mother-in-law’s tongue, Leopard Lily ชื่ออื่น---ว่านพญาช้างเผือก, ช้างเผือก ;[CHINESE: Bái mài dài fěn yè.];[THAI: Wan Phaya chang phueak, Chang phueak.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---DIFSE (Preferred name: Dieffenbachia seguine.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dieffenbachia' ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792 – 1847) Dieffenbachia seguine f. barraquiniana เป็นคำพ้องความหมายของ Dieffenbachia seguine สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล สาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะเวสต์อินดีส ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ ก้านใบกับลำต้นเป็นสีขาวงาช้างมีลาย ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปแถบกว้าง ปลายติ่งหนามสั้น โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เป็นมัน ด้านบนสีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบชัดเจน มีเส้นกลางใบสีขาวหนาและมีจุดสีครีมกระจายเกือบจะสุ่ม ดอกไม้มีลักษณะเป็นช่อยาวโดยมีดอกเพศผู้อยู่ด้านบนและดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ดอกหมันแถวหนึ่งแยกสองเพศ กลุ่มผลเบอร์รี่สีแดงสดหรือสีแดงส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโต สูง 0.60 เมตร ภายในหนึ่งปี การรดน้ำ---รดน้ำสัปดาห์ละสองครั้ง งดการรดน้ำต้นไม้จนกว่าดินด้านบน 5 ซม.(2 นิ้ว)จะแห้งจากนั้นให้รดน้ำให้ทั่วบริเวณโคนต้นไม้ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ (ทุก 4-6 สัปดาห์) ใช้ปุ๋ยสูตรสมดุล 10-10-10 พร้อมการรดน้ำ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ ความเชื่อ/พิธีกรรม---ค่อนข้างเป็นที่นิยมในเอเชียเนื่องจากถือว่าเป็น "ผู้นำความโชคดี" อาจจะเหมือนกับ 'Sao Antonia' ในการค้าของฟิลิปปินส์ และสำหรับนักสะสมพันธุ์ "Dumbcane" - ประเทศไทย ในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า ว่านพญาช้างเผือก นำส่วนลำต้นมาหั่นเป็นท่อนเป็นว่านที่มีอิทธิฤทธิ์ช่วยในทางอำนาจบารมี มักจะนำส่วนที่เป็นลำต้นมาหั่นเป็นท่อนเล็ก ๆ ห่อด้วยมะขามเปียกแล้วนำมากินเพื่อให้มีความคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ได้ชื่อ"Dumbcane"มาจากอาการพูดไม่ออกชั่วคราวที่เกิดขึ้นหลังจากเคี้ยวชิ้นส่วนของลำต้น น้ำผลไม้ ของพืชมี สารออกซาเลต และสารอื่น ๆที่ระคายเคือง เยื่อเมือกและทำให้ลิ้นและคอบวมและอักเสบ มีรายงานว่า "Dumbcane" ถูกมอบให้กับทาสเพื่อเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่ง ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นได้ทั้งในดินและในน้ำ แยกหน่อ
อาบูหะซัน หรือ ช้างดำ/Dieffenbachia x memoria-corsii Fenzl
ชื่อวิทยาศาสตร์-- Dieffenbachia Schott x memoria-corsii Fenzi. Cultivar--Memoria Corsii ชื่อสามัญ---Dumb cane, Mother-in-law’s tongue, Leopard Lily, Leopard Lily Dieffenbachia ชื่ออื่น---อาบูหะซัน, ช้างดำ ;[CHINESE: Sā yín dài fěn yè.];[THAI: Abuhasun, Chang dam.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---1DIFG (Preferred name: Dieffenbachia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---เวสต์อินดีส นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dieffenbachia' ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792 – 1847) Dieffenbachia 'Memoria Corsii' เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Dieffenbachia สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล สาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าเขตร้อนของอเมริกาเหนือและใต้ และแคริบเบียน มีธรรมชาติที่กว้างขวางที่ทอดตัวไปทางใต้ผ่านเวเนซุเอลา ซูรินาเม เฟรนช์เกียนา บราซิลตะวันออก และทางตะวันตกสู่ที่ราบลุ่มของโคลอมเบีย ทางตะวันออกของเอกวาดอร์ และ โบลิเวีย มีการเพาะปลูก ทั่วโลกในศรีลังกา สิงคโปร์ ไนจีเรีย มาเลเซีย ซามัว ฟิจิ ฮาวาย และหมู่เกาะอื่นๆ ในแปซิฟิกใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ ก้านใบกับลำต้นเป็นสีเขียวเข้ม ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปแถบกว้าง ปลายติ่งหนามสั้น โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เป็นมัน ด้านบนสีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบชัดเจน ใบสีเขียวอมเทามีจุดสีครีมที่เหมือนดอกไม้ไฟระเบิด (การแต้มสีในเฉดต่างๆ ของสีเทา สีเขียว และสีครีม) ดอกไม้มีลักษณะเป็นช่อยาวโดยมีดอกเพศผู้อยู่ด้านบนและดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ดอกหมันแถวหนึ่งแยกสองเพศ กลุ่มผลเบอร์รี่สีแดงสดหรือสีแดงส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงครึ่งวันเช้า เติบโตได้ในที่ร่มหรือแสงแดดจัด ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำได้ดี ความชื้น 60%การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้ง 1"-2" เท่านั้น อยู่ได้ 2 ถึง 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องรดน้ำ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร เป็นที่นิยมในเอเชียเนื่องจากถือว่าเป็น "ผู้นำความโชคดี" เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ รู้จักอันตราย--- เช่นเดียวกับสมาชิก Araceae อื่น ๆ ประกอบด้วยผลึกแคลเซียมออกซาเลตซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองส่วนที่สัมผัสและบอบบางของร่างกายเช่นผิวหนัง เยื่อบุตา ได้ชื่อ "Dumbcane" มาจากอาการพูดไม่ออกชั่วคราว ที่เกิดขึ้นหลัง จากเคี้ยวชิ้นส่วนของลำต้น น้ำผลไม้ของพืช มีสารออกซาเลต และสารอื่น ๆที่ระคายเคืองเยื่อเมือก และทำให้ลิ้นและคอบวม และอักเสบ มีรายงานว่า "Dumbcane" ถูกมอบให้กับทาส เพื่อเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่ง ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นได้ทั้งในดินและในน้ำ แยกหน่อ
ทรอปิกสโนว์/Dieffenbachia 'Tropic Snow'
ชื่อวิทยาศาสตร์-- Dieffenbachia Seguine 'Tropic Snow ' ชื่อพันธุ์--Tropic Snow ชื่อสามัญ---Dumb cane, Tropic Snow Dumb Cane Plant ชื่ออื่น---ขุนเม็งราย, ทรอปิกสโนว์ ;[CHINESE: Xiàxuědài fěn yè, Mǎ wáng wàn niánqīng.];[THAI: Khun Mengrai, Tropic Snow.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---DIFSE (Preferred name: Dieffenbachia seguine.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล Dieffenbachia Seguine 'Tropic Snow ' เป็นความหลากหลาย (Varieties) ของ Dieffenbachia Seguine สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุล สาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ชื่อนี้ช่วยแยกพืชออกจากพันธุ์พืชที่เกี่ยวข้องในตระกูล Dieffenbachia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบราซิล ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ ก้านใบกับลำต้นเป็นสีขาวงาช้างมีลาย ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปแถบกว้าง ปลายติ่งหนามสั้น โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เป็นมัน สีฐานของใบไม้แต่ละใบเป็นสีเขียวมรกตสดใสที่ด้านนอก (และตรงกลางขึ้นไป) แต่ตรงกลางมีแถบสีครีมขาวเหลือง ดอกไม้มีลักษณะเป็นช่อยาวโดยมีดอกเพศผู้อยู่ด้านบนและดอกเพศเมียอยู่ด้านล่าง ดอกหมันแถวหนึ่งแยกสองเพศ กลุ่มผลเบอร์รี่สีแดงสดหรือสีแดงส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดโดยตรงครึ่งวันเช้า (3-4 ชั่วโมง) แสงแดดรำไร อุณหภูมิ 18-24°C ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำได้ดี ความชื้น 60%การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้ง 1"-2" เท่านั้น อยู่ได้ 2 ถึง 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องรดน้ำ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร ค่อนข้างเป็นที่นิยมในเอเชียเนื่องจากถือว่าเป็น "ผู้นำความโชคดี" เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ รู้จักอันตราย---ได้ชื่อ"Dumbcane"มาจากอาการพูดไม่ออกชั่วคราวที่เกิดขึ้นหลังจากเคี้ยวชิ้นส่วนของลำต้น น้ำผลไม้ของพืชมีสารออกซาเลตและสารอื่น ๆ ที่ระคายเคืองเยื่อเมือกและทำให้ลิ้นและคอบวมและอักเสบ มีรายงานว่า"Dumbcane"ถูกมอบให้กับทาสเพื่อเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่ง ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นได้ทั้งในดินและในน้ำ แยกหน่อ
นางพญาหงสา/Dieffenbachia daguensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dieffenbachia daguensis Engl.(1885) ชื่อพ้อง--- No synonyms are recorded for this name. ---See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:86858-1 ชื่อสามัญ---Dieffenbachia, Dumb cane ชื่ออื่น---ว่านนางพญาหงสา, ว่านนางพญาหงสาวดี, ว่านนางพญาผีดิบ ; [CHINESE: Gé yè dài fěn yè, Gé yè wànniánqīng.];[THAI: Wan nang phaya hongsa, Wan nang phaya hongsawadee, Wan nang phaya phi dip.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---DIFSE (Preferred name: Dieffenbachia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์-- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dieffenbachia'ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792 – 1847) Dieffenbachia daguensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลสาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ขาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2428 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย พม่า ขึ้นตามเชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่าน และตามพื้นที่ชุ่มชื่นทั่วไป ที่ระดับความสูง 0-1,900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นทรงกระบอกตั้งตรงสีเขียวเข้ม มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ มีใบใหญ่หนาแข็ง สีเขียวสด มีดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดโดยตรงครึ่งวันเช้า (3-4 ชั่วโมง) แสงแดดรำไร อุณหภูมิ 18-29°C. ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำได้ดี ความชื้นอย่างน้อย 60% การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้ง 1"-2" เท่านั้น อยู่ได้ 2 ถึง 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องรดน้ำ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ ความเขื่อ/พิธีหรรม---ชาวพม่าเชื่อกันว่าเป็นว่านที่อำนาจอาถรรพณ์ลี้ลับ หากผู้ใดนำมาปลูกเลี้ยงไว้ในบ้านจะต้องเซ่นไหว้บูชา มิฉะนั้นจะถึงกาลวิบัติ และเกิดอาเภทต่างๆ แต่ถ้าทำถูกต้องและออกดอกจะทำให้ร่ำรวยมีอำนาจบารมี -ในประเทศไทยถือว่า พืชมีอนุภาพทางด้านการป้องกันภูตผีปีศาจ ปัดเป่าเสนียดจัญไรต่างๆ รู้จักอันตราย---ได้ชื่อ"Dumbcane"มาจากอาการพูดไม่ออกชั่วคราวที่เกิดขึ้นหลังจากเคี้ยวชิ้นส่วนของลำต้น น้ำผลไม้ของพืชมีสารออกซาเลตและสารอื่น ๆ ที่ระคายเคืองเยื่อเมือกและทำให้ลิ้นและคอบวมและอักเสบ มีรายงานว่า"Dumbcane"ถูกมอบให้กับทาสเพื่อเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่ง ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นได้ทั้งในดินและในน้ำ แยกหน่อ
เสือโคร่ง/Dieffenbachia sequine (Jacq.) Schott cv. Nobilis
Dieffenbachia sp.
หงสามหาราช/Dieffenbachia sp.
ชื่อวิทยาศาสตร์-- Dieffenbachia sp. ชื่อพ้อง--- No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Dieffenbachia, Dumb cane ชื่ออื่น---ว่านหงสามหาราช ;[THAI: Wan Hongsa Maharach.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---DIFSE (Preferred name: Dieffenbachia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์-- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dieffenbachia'ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792 – 1847) Dieffenbachia sp. เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลสาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีถึงรูปแถบกว้าง ปลายใบแหลมเรียว โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบหนา เป็นมัน สีเขียวเข้มทั้งใบเห็นเส้นใบชัดเจน กาบใบหุ้มลำต้นซ้อนกันเป็นชั้น ออกดอกเป็นช่อ แบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกที่ปลายยอด ดอกสีขาว ขนาดเล็ก จานรองดอกสีเขียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดโดยตรงครึ่งวันเช้า (3-4 ชั่วโมง) แสงแดดรำไร อุณหภูมิ 18-29°C. ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำได้ดี ความชื้นอย่างน้อย 60% การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้ง 1"-2" เท่านั้น อยู่ได้ 2 ถึง 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องรดน้ำ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ ความเขื่อ/พิธีหรรม--- เป็นต้นไม้มงคล เรียกทรัพย์ เสริมบารมี เสริมฮวงจุ้ย รู้จักอันตราย---ชิ้นส่วนของลำต้นและน้ำของผลไม้ของพืชมีสารออกซาเลตและสารอื่น ๆ ที่ระคายเคืองเยื่อเมือกและทำให้ลิ้นและคอบวมและอักเสบ ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้นได้ทั้งในดินและในน้ำ แยกหน่อ
เศรษฐีวิลสัน/Dieffenbachia sp.
ชื่อวิทยาศาสตร์-- Dieffenbachia sp. ชื่อพ้อง--- No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Dieffenbachia, Dumb cane ชื่ออื่น---เศรษฐีวิลสัน ; [THAI: Setthi wilson.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---DIFSE (Preferred name: Dieffenbachia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์-- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dieffenbachia' ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ ชาวเยอรมัน Johann Friedrich Dieffenbach (1792 – 1847) Dieffenbachia sp. เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) สกุลสาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มที่มีลำต้นและใบใหญ่กว่าพืชสกุลเดียวกันมาก สามารถสูงได้ถึง 3 เมตร ลำต้นทรงกระบอก ตั้งตรง มีข้อปล้องถี่ อาจมีรากขึ้นตามข้อ อย่างไรก็ตาม ต้นไม้จะไม่ค่อยมีขนาดถึงขนาดนี้ในสภาพในร่มทั่วไป ซึ่งมักจะสูง 0.90 - 1.5 เมตร ใบเดี่ยว เรียงเวียนรูปรีถึงรูปแถบกว้าง ยาวได้ถึง 50 ซม.ปลายใบมีติ่งสั้น โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันเห็นเส้นใบชัดเจนกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนกันเป็นชั้น ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบออกที่ปลายยอด ดอกสีขาวขนาดเล็ก จานรองดอกสีเขียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดโดยตรงครึ่งวันเช้า (3-4 ชั่วโมง) แสงแดดรำไร อุณหภูมิ 18-29°C. ชอบดินร่วนชื้นระบายน้ำได้ดี ความชื้นอย่างน้อย 60% การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้ง 1"-2" เท่านั้น อยู่ได้ 2 ถึง 3 สัปดาห์โดยไม่ต้องรดน้ำ ในฤดูหนาวลดการให้น้ำได้ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดใบเหลืองออกโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุ การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยสูตรสมดุลทุก 4 ถึง 6 สัปดาห์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ส่วนใหญ่ปราศจากปัญหา แต่ก็เหมือนกับพืชในร่มหลายชนิด พวกมันสามารถไวต่อไรเดอร์ได้ สามารถรักษาได้ด้วยน้ำมันพืชสวนหรือสบู่ละลายน้ำรด/รากเน่าส่วนใหญ่มักเกิดจากการผสมดินที่ระบายน้ำได้ไม่ดีหรือเกิดจากการรดน้ำมากเกินไป ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ใบภายในหรือภายนอกอาคาร ปลูกเป็นไม้ในกระถางขนาดใหญ่ เป็นพืชฟอกอากาศที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกพื้นที่ ความเขื่อ/พิธีหรรม--- เป็นต้นไม้มงคล เรียกทรัพย์ เสริมบารมี เสริมฮวงจุ้ย รู้จักอันตราย---ชิ้นส่วนของลำต้นและน้ำของผลไม้ของพืชมีสารออกซาเลตและสารอื่น ๆ ที่ระคายเคืองเยื่อเมือกและทำให้ลิ้นและคอบวมและอักเสบ ขยายพันธุ์---ปักชำลำต้น แยกหน่อ
|
สกุล อโกลนีม่าหรือ แก้วกาญจนา/Aglaonema schott
ถิ่น กำเนิด เขตร้อนของทวีปเอเซีย พบทั่วโลกประมาณ21ชนิด มีทั้งเป็นไม้พุ่มและไม้เลื้อย ได้รับการปลูกฝังผสมพันธุ์และขยายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ ที่หลากหลาย อาศัยอยู่ในสภาพแสงน้อย และเป็นพืชในร่มที่เป็นที่นิยม ลำต้นอวบน้ำมีข้อปล้องชัดเจน ลวดลายใบแตกต่างกันไป ช่อดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ผลเป็นรูปทรงกลมเมื่อสุกสีแดงสด สามารถนำมาขยายพันธุ์ต่อไปได้ แตกกอง่าย ข้อต้นถี่ จะเห็นได้ว่า อโกลนีมามีลักษณะทั่วไปคล้ายสาวน้อยประแป้ง ต่างกันที่อโกลนีมามีข้อต้นถี่ และน้ำยางใสเป็นพิษเล็กน้อย และด้วยลวดลายสีสันบนใบ และความแข็งแรงทนทาน อโกลนีมา จึงได้รับความนิยม ในการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันมาก การปลูกเลี้ยงก็ง่ายในแสงแดดรำไรและดินมีการระบายน้ำดี บางชนิดทนต่อสภาพชื้นแฉะ บางชนิดทนต่อสภาพแห้งแล้ง หรือมีแสงแดดส่องมาก มีทั้งเลี้ยงง่ายโตเร็ว และเลี้ยงง่ายโตช้า แล้วแต่ ขยายพันธุ์ได้หลายวิธี อาจใช้การตอน การแยกหน่อ หรือปักชำยอด หรือปักชำลำต้น ศัตรูที่ควรระวังคือพวกเพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณซอกใบตามปลายยอด ชอบปุ๋ยคอกมากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ประหยัดไปอีกอย่าง สำหรับอโกลนีมาที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับมี 2กลุ่มคือ กลุ่มที่มีลำต้นตั้งตรงและกลุ่มที่มีลำต้นทอดเลื้อย ที่นำมาคือเป็นต้นที่ควรรู้จัก สำหรับต้นที่ผสมขึ้นใหม่ จะมีหนังสือเฉพาะสำหรับผู้สนใจพิเศษ ในที่นี้จะกล่าวถึงอโกลนีมาทั่วไปออกจะเป็นไม้เก่าดั้งเดิมเริ่มต้น แต่ที่กำลังนิยมอยู่ก็มีอยู่บ้าง
เขียวพันปี/Aglaonema commutatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema commutatum Schott.(1856.) ชื่อพ้อง ---Has 1 Synonyms ---Aglaonema marantifolium var. commutatum (Schott) Engl. ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:84050-1#synonyms ชื่อสามัญ---Philippine evergreen, Chinese Evergreen, Silver Evergreen, Silver queen aglaonema, Pewter, Painted Drop-Tongue ชื่ออื่น---เขียวพันปี, ว่านเขียวพันปี, อโกลนีมา, แก้วกาญจนา ; [CHINESE: Bān cū lèi cǎo.];[DUTCH: Zeemanstroost.];[INDONESIA: Sri rezeki.];[PORTUGUESE: Aglaonema, Café-de-salão, Sempre-verde.];[SWEDISH: Silverkalla.];[THAI: Khieo phan-pi.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLCM (Preferred name: Aglaonema commutatum.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียเขตร้อน แอฟริกา อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Aglaonema' มาจากคำภาษากรีก 'Aglaos'= สว่างหรือชัดเจน และ 'nema' = ด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ ; ชื่อสปีซี่ส์ ' commutatum' หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบ Aglaonema commutatum เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปีพ.ศ.2399 Includes 4 Accepted Infraspecifics ความหลากหลาย (Varieties);- -Aglaonema commutatum var. commutatum : Philippines (C. Luzon) -Aglaonema commutatum var. elegans (Engl.) Nicolson (1968) : Philippines (C. Luzon) -Aglaonema commutatum var. maculatum (Hook.f.) Nicolson (1968) : Philippines (C. Luzon) -Aglaonema commutatum var. warburgii (Engl.) Nicolson (1969) : NE. Sulawesi. ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์ ((สุลาเวสี) ตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเซลีเบส เปิดตัวในอินเดีย บังคลาเทศ และแคริบเบียน เติบโตภายใต้ป่าฝนเขตร้อนบริเวณที่มีความเข้มของแสงต่ำ ที่ระดับความสูง 100-1,600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กทรงพุ่มค่อนข้างใหญ่มีรากและลำต้นที่เป็นเส้นใยมียางสีขาวความสูง 40–70 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.5–2 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบรูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือรูปหัวใจ สีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายแถบเล็กๆทั้งสองด้านระหว่างเส้นใบย่อยคล้ายลายขนนกเป็นปื้นสีเขียวอ่อนกระจายอยู่ทั่วใบ มีดอกสปาดิกซ์สีขาวครีมขนาดเล็กล้อมรอบด้วยกาบสีเขียวซีด ผลสดรูปกลมรีสีแดงเมื่อสุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง มีความทนทานต่อร่มเงา อุณหภูมิที่คงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 15ºC ถึง 21ºC ต้องการความชื้นสูง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำได้ดี อัตราการเติบโต ปานกลาง การรดน้ำ---ให้น้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยปล่อยให้ส่วนผสมด้านบน 2-3 ซม.แห้งในช่วงฤดูร้อน ในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาพัก (ซึ่งอาจสั้นมากหรือไม่มีเลย) ให้น้ำเพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นแห้งสนิทเท่านั้น การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดช่อดอกและใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุล ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคล นิยมปลูกเป็นไม้กระถางประดับ -ใช้เป็นยา ใบ และต้นตำผสมเหล้าขาว คั้นเอานํ้ากิน เอากากพอกถอนพิษสัตว์กัดต่อย ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะเลี้ยง ไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -อื่น ๆเป็นพืขที่อยู่ในรายชื่อ พืชฟอกอากาศของ NASA พวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์เมื่อบริโภคเข้าไป ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---แยกหน่อ ปักชำ
เขียวหมื่นปี/Aglaonema modestum
Picture: https://www.aniimoo.com/ ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema modestum Schott ex Engl.(1879) ชื่อพ้อง --- Has 3 Synonyms ---Aglaonema acutispathum N.E.Br.(1885). ---Aglaonema costatum var. viride Engl.(1915). ---Aglaonema laoticum Gagnep.(1941) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:84081-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Chinese evergreen, Green-for-ten-thousand-years, Lily of China, Japanese-leaf ชื่ออื่น--- ว่านเขียวหมื่นปี, เขียวหมื่นปี ;[CHINESE: Wan–lien–tching, Cū lèi cǎo.];[GERMAN: Chinesischer Kolbenfaden.];[PORTUGUESE: Sempre-verde.];[THAI: Khieo muen-pi.].]. ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLMO (Preferred name: Aglaonema modestum.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---จีน บังคลาเทศ ไทย ลาว เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Aglaonema' มาจากคำภาษากรีก 'Aglaos' = สว่างหรือชัดเจนและ 'nema' = ด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ Aglaonema modestum เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย จากอดีต Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2422 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ประเทศจีน พบใน บังคลาเทศ ไทย ลาว เวียดนาม ที่ระดับความสูงถึง 1,700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กทรงพุ่มค่อนข้างใหญ่มีรากและลำต้นที่เป็นเส้นใยมียางสีขาวอาจมีความสูง 30-60 ซม.พุ่มกว้างได้ถึง 30-90 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบรูปใบหอกหรือใบพายมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 ซม.และยาวประมาณ 10-25 ซม. ก้านใบยาวประมาณ 8-10 ซม.ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือรูปหัวใจ สีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายแถบเล็กๆทั้งสองด้านระหว่างเส้นใบย่อยคล้ายลายขนนกเป็นปื้นสีเขียวอ่อนถึงเหลืองอ่อนกระจายอยู่ทั่วใบ มีดอกสปาดิกซ์สีขาวครีมขนาดเล็กล้อมรอบด้วยกาบสีเขียวซีด ผลสดรูปกลมรี 2 × 0.8 ซม. สีเขียวเมื่อสุกเป็นสีส้มเข้ม เมล็ดรูปขอบขนาน 1.7 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง มีความทนทานต่อร่มเงา อุณหภูมิที่คงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 16ºC ถึง 24ºC ต้องการความชื้นสูง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---ให้น้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยปล่อยให้ส่วนผสมด้านบน 2-3 ซม.แห้งในช่วงฤดูร้อน ในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาพัก (ซึ่งอาจสั้นมากหรือไม่มีเลย) ให้น้ำเพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นแห้งสนิทเท่านั้น การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดช่อดอกและใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุล ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคลนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง -ใช้เป็นยา ใช้ภายนอกเป็นยาเพื่อรักษาอาการงูและแมลงกัดต่อย โรคกลัวน้ำ ฝีและอาการบวม ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะเลี้ยงไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -ในภาษาจีนกลางเรียกว่า เรียกว่า Wan – lien – tching ตามตัวอักษร '10,000 ปีสีเขียว' และถือเป็นการนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ -อื่น ๆเป็นพืขที่อยู่ในรายชื่อพืชฟอกอากาศของ NASA ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอ้นตราย---พืชทุกชนิดในวงศ์นี้ทุกส่วนมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ หลังจากสัมผัสกับน้ำเลี้ยงเซลล์ หากเคี้ยวจะเกิดอาการระคายเคืองปาก ริมฝีปาก คอ ลิ้น ได้รับรางวัล---AGM (Award of Garden Merit) จาก RHS (Royal Horticultural Society) ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์---แยกหน่อ ปักชำ
โพธิ์เงินลาย/Aglaonema costatum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema costatum N.E.Br.(1892) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Aglaonema costatum f. foxii (Engl.) Jervis (1980). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/84052-1#synonyms ชื่อสามัญ---Fox's aglaonema, Spotted evergreen, Chinese evergreen, Leaf Aglaonema. ชื่ออื่น---โพธิ์เงินลาย, โพธิ์นำเงินเล็ก, ใบ้สามสี, ไอ้ใบ้สามสี, สามสี,โพธิ์เงินลาย ;[CHINESE: Xīn yè cū lē cǎo.];[SWEDISH: Ribbsilverkalla.];[THAI: Pho nam ngeon lai, Pho nam ngeon lek, Bai sam si, Sam si, Ai bai sam si.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLCO (Preferred name: Aglaonema costatum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังกลาเทศ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ไทย เวียดนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก 'aglaos'หมายถึงสว่างหรือชัดเจนและ 'nema' หมายถึงด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ Aglaonema costatum เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Nicholas Edward Brown (1849–1934) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2435. ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน มาเลเซีย (Pulau Langkawi).แพร่กระจายในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากเกาะลังกาวีไปยังเวียดนาม เติบโตภายใต้สภาพธรรมชาติในชั้นล่างของป่าซึ่งมีแสงส่องผ่านเข้ามาเล็กน้อย ในที่ชื้นและร่มรื่นบนหินปูนหรือใกล้ลำธาร ได้รับความนิยมในการเพาะปลูกสำหรับรูปแบบที่แตกต่างกันซึ่งได้มาจากป่า ลักษณะ ต้นไม้ต้นนี้เรียกกันว่า ใบ้สามสี มาแต่โบราณ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลางขึ้นเป็นกอมีลำต้นทอดเลื้อยใต้ดิน ต้นสูง30-45 ซม.ใบรูปไข่แกมรูปใบหอกยาว 9.5-26 x 4.7-10 ซม. ปลายใบเรียวแหลมใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีเส้นกลางใบสีขาวและจุดแต้มเล็กๆสีขาวนวลทั่วใบ ก้านใบสั้นมากยาวประมาณ 1.5 ซม.ช่อดอกออกเดี่ยว ๆก้านช่อดอกยาว 2.5-23 ซม. Spadix รูปทรงกระบอกรี ผลขนาด 1-2 x 0.5-1 ซม.สุกสีแดงเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำอย่างทั่วถึงเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน ต้องการความชื้นสูง ในอากาศแห้งใบจะผิดรูปคลี่ไม่ดี ยอดและขอบใบแห้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดช่อดอกและใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุลเจือจางลงครึ่งหนึ่งสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งอาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคล ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะปลูกเลี้ยงไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -อื่น ๆเป็นพืขที่อยู่ในรายชื่อพืชฟอกอากาศของ NASA ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์เมื่อบริโภคเข้าไป ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์--- ปักชำราก เหง้า
เงินเต็มบ้าน/Aglaonema sp. ‘Ngoentemban’
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema sp. ‘Ngoentemban’ ชื่อพ้อง---N/A : No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Philippine evergreen, Chinese Evergreenม, Aglaonema Ngoentemban ชื่ออื่น---เงินเต็มบ้าน ; [THAI: Ngoen tem ban.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLSS (Preferred name: Aglaonema sp.) ถิ่นกำเนิด----ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก 'aglaos'หมายถึงสว่างหรือชัดเจนและ 'nema' หมายถึงด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ Aglaonema sp. ‘Ngoentemban’ เป็นพันธุ์ของอโกลนีมาชนิดหนึ่ง ของสายพันธุ์ครอบครัว วงศ์บอน (Araceae) สกุลอโกลนีมา (Aglaonema) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบรูปไข่ปลายแหลมเป็นติ่ง โคนมนหรือรูปหัวใจ ใบหนาคล้ายแผ่นหนังสีเขียวเข้มเหลือบสีเทาเงิน มีปื้นสีเขียวหรือเขียวอมเทาที่ขอบใบ ใต้ใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีเขียวเข้ม โคนกาบใบมีขีดสีเทาจาง ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และมีการระบายน้ำได้ดี แตกหน่อปานกลาง อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การรดน้ำ---รดน้ำอย่างทั่วถึงเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน ต้องการความชื้นสูง ในอากาศแห้งใบจะผิดรูปคลี่ไม่ดี ยอดและขอบใบแห้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดช่อดอกและใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุลเจือจางลงครึ่งหนึ่งสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งอาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคลนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะเลี้ยง ไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -อื่น ๆเป็นพืข ที่อยู่ในรายชื่อพืชฟอกอากาศ ของ NASA ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์เมื่อบริโภคเข้าไป ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำลำต้น แยกหน่อ
อุดมทรัพย์/Aglaonema sp. ‘Udomsap’
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema sp. ‘Udomsap’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Chinese Evergreen, Aglaonema Udomsap ชื่ออื่น---อโกลนีม่าอุดมทรัพย์ ;[THAI: Udomsap.] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLSS (Preferred name: Aglaonema sp.) ถิ่นกำเนิด----ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก 'Aglaos' = สว่างหรือชัดเจนและ 'nema' = ด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ Aglaonema sp. ‘Udomsap’ เป็นพันธุ์ของอโกลนีมาชนิดหนึ่ง ของสายพันธุ์ครอบครัว วงศ์บอน (Araceae) สกุลอโกลนีมา (Aglaonema) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุหลายปี สูงประมาณ 30 ซ.ม. ใบเดี่ยวรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายเรียวแหลม โคนใบมนหรือเว้า หนาคล้ายแผ่นหนัง ด้านใต้ใบเป็นสันนูนตามเส้นใบ กาบใบเป็นร่องห่อหุ้มลำต้น ขอบใบสีเขียวเข้ม แผ่นใบสีขาวนวลปนด้วยแต้มสีเขียวปนเทา ดอกสีขาวออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำอย่างทั่วถึงเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน ต้องการความชื้นสูง ในอากาศแห้งใบจะผิดรูปคลี่ไม่ดี ยอดและขอบใบแห้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุลเจือจางลงครึ่งหนึ่งสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคลนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะเลี้ยง ไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -อื่น ๆเป็นพืขที่อยู่ในรายชื่อโรงงานฟอกอากาศของ NASA พวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์เมื่อบริโภคเข้าไป ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำลำต้น แยกหน่อ
หลักทรัพย์/Aglaonema sp. ‘Laksap’
ชื่อวิทยาศาสตร์---Aglaonema sp. ‘Laksap’ ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---Chinese Evergreen, Aglaonema Laksap ชื่ออื่น---อโกลนีม่าหลักทรัพย์ ;[THAI: Laksap .] ชื่อวงศ์---ARACEAE EPPO Code---AGLSS (Preferred name: Aglaonema sp.) ถิ่นกำเนิด----ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลมาจากคำภาษากรีก 'Aglaos' = สว่างหรือชัดเจนและ 'nema' = ด้ายที่อ้างอิงถึงเกสรเพศผู้ Aglaonema sp.‘Laksap’ เป็นพันธุ์ของอโกลนีมาชนิดหนึ่ง ของสายพันธุ์ ครอบครัว วงศ์บอน (Araceae) สกุลอโกลนีมา (Aglaonema) ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดียลงไปจนถึงมาเลเซีย หมู่เกาะในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก อายุหลายปี สูงประมาณ 30 ซ.ม. ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรี ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง เกลี้ยง ก้านใบสีชมพูอ่อน กาบใบเป็นร่อง ห่อหุ้มลำต้น แผ่นใบสีเขียวเข้มปนสีเขียวอ่อน บริเวณเส้นกลางใบและเส้นใบย่อยสีชมพู ใต้ใบคล้ายแผ่นใบแต่สีชัดกว่า เส้นกลางใบนูนเด่นชัดบริเวณโคนและค่อยๆเล็กลงจนสุดปลายใบ ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ออกบริเวณซอกใบ ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแสงสว่างแต่ไม่ใช่แสงแดดส่องโดยตรง ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำอย่างทั่วถึงเป็นประจำทำให้ดินชุ่มชื้นเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อน ต้องการความชื้นสูง ในอากาศแห้งใบจะผิดรูปคลี่ไม่ดี ยอดและขอบใบแห้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดพ่นหมอกหรือสเปรย์น้ำเป็นประจำ การตัดแต่งกิ่ง---กำจัดใบที่ตายแล้วเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเดือนละ 2 ครั้งโดยใช้ปุ๋ย houseplant ที่สมดุลเจือจางลงครึ่งหนึ่งสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคร้ายแรง พลี้ยแป้งและไรเดอร์อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น) ระวังหอยทาก/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำมากเกินไป ; ใบเหี่ยว ปลายใบและขอบใบเป็นสีน้ำตาล มักจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิต่ำ ความแห้งกร้าน หรือขาดน้ำ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นไม้ในร่ม และถือเป็นต้นไม้มงคลนิยมปลูกเป็นไม้กระถาง ความเชื่อ/พิธีกรรม---มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ปลูก ไว้เป็นศรีเป็นสง่าแก่บ้านเรือน เป็นไม้มงคลต้นหนึ่ง โดยมากมักจะเลี้ยง ไว้เป็นไม้ประดับกระถาง -อื่น ๆเป็นพืขที่อยู่ในรายชื่อพืชฟอกอากาศของ NASA พวกเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถขจัดสารพิษเบนซีนและฟอร์มาลดีไฮด์ที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายในบ้านและช่วยลดผลข้างเคียงที่ระคายเคืองต่อมนุษย์ รู้จักอันตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์เมื่อบริโภคเข้าไป ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำลำต้น แยกหน่อ
อโกลนีม่าชนิดอื่นๆ
|
|
อัญมณีแดง |
ศิริมงคล |
|
|
ทองนพคุณ |
รวยรายวัน |
|
สกุลคล้า/วงศ์ MARANTACEAE
คล้า วงศ์ MARANTACEAE เรียกกันว่า Arrow Root Famly มีประมาณ 31 สกุล 550 ชนิด
ถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน ส่วนใหญ่อยู่ในแถบอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย มักพบในป่าดิบชื้น มีแสงรำไรหรือในพื้นที่ชื้นแฉะทั่วไป คล้าจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีเนื้ออ่อน เจริญเติบโตเป็นกอ เป็นพุ่ม อายุหลายปี ลำต้นมีทั้งตรงและเลื้อย มีเหง้า หรือหัวใต้ดิน แตกหน่อได้ ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน มักมีลวดลายและสีสันบนใบสวยงาม โคนต้นมีกาบหุ้มใบ ลักษณะประจำของพืชวงศ์นี้คือแผ่นใบสองด้านของเส้นกลางใบไม่เท่ากัน ขณะใบยังอ่อนด้านใหญ่จะม้วนหุ้มด้านเล็กไว้ นอกจากนี้ตรงรอยต่อของก้านใบกับแผ่นใบจะโป่งออก มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบ เวลากลางวันใบจะกางออก และจะห่อขึ้นในเวลากลางคืน คล้ายกับการพนมมือ จึงมีคนเรียกชื่อพืชวงศ์นี้ว่า "Prayer Plant" ดอกออกเป็นช่อบริเวณยอดอ่อนจากซอกกาบใบ ดอกจะออกเป็นคู่จากกาบรองดอกที่เรียงซ้อนกันเป็นแถวในแนวระนาบเดียวกัน สลับซ้ายขวาจากแกนช่อดอกหรืออาจเรียงกันเป็นวง ช่อดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ3กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมากแต่สมบูรณ์เพียง1อัน ส่วนที่เหลือเป็นหมัน และจะเปลี่ยนรูปไปคล้ายกลีบดอก1กลีบ ลักษณะของช่อดอกมี4แบบคือ1 แบบดอกช่อกระจุกอยู่ปลายก้าน 2 แบบช่อแขนง 3 แบบช่อกระจะ 4 แบบช่อเชิงลด ผลซึ่งไม่ค่อยจะพบนักมี2ลักษณะคือผลแห้งเมื่อแก่อาจแตกหรือไม่แตกออก และผลที่มีเนื้อนุ่ม และมีเมล็ด1-3เมล็ด ธรรมชาติของคล้ามักขึ้นตามป่าชื้นที่มีดินแฉะหรือมีน้ำขัง เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น ความชื้นสูง แสงรำไร ลมโกรกน้อย แต่ก็มีบางสกุลที่ทนอุณหภูมิต่ำมากๆได้ ใบของคล้าจะไวต่อแสงแดด ความชื้นและอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมมาก เช่นในฤดูฝนใบจะมีสีสันและลวดลายสวยงาม แต่ถ้าได้รับแสงแดดจัดขณะมีความชื้นในอากาศน้อยและมีอุณหภูมิสูง เช่นในฤดูร้อนหรือฤดูหนาว จะทำให้เกิดรอยไหม้บนใบหรือขอบใบแห้ง ส่วนวัสดุปลูกนั้นต้องมีความชุ่มชื้น มีการระบายน้ำดี และมีอินทรียวัตถุปนอยู่บ้างเช่น ดินปนทราย การขยายพันธุ์ควรทำในช่วงฤดูร้อนถึงฤดูฝนวิธีที่นิยมกันคือการแบ่งเหง้าหรือหัวที่โตเต็มที่มาปลูกใหม่ ราว 2-3สัปดาห์ต้นใหม่ก็จะตั้งตัวได้และเริ่มผลิใบใหม่ขึ้น ส่วนการเพาะเมล็ดจะให้ผลช้ากว่าและต้นที่ได้อาจมีการกลายพันธุ์จากต้นเดิม จึงไม่นิยม ยกเว้นทำเพื่อผลิตลูกผสมใหม่ โรค แมลงศัตรู โรคที่พบมากคือโรคใบจุดสนิม เกิดจากเชื้อรา จะมีจุดสีน้ำตาลกระจายทั่วไป ระบาดมากในฤดูหนาว ส่วนแมลงศัตรูที่พบได้แก่ เพลี้ยแป้ง ตั๊กแตน หนอนบุ้งและไรแดง ปัจจุบันคล้าที่ปลูกกันอยู่ในประเทศไทยมีทั้งชนิดเป็นพันธุ์พื้นเมือง และนำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้แก่
สกุล คาลาเทีย/Calathea Mey.
ไม้ประดับสกุล Calathea นี้มักเรียกกันว่า "คล้า" เป็นไม้เนื่ออ่อนอายุหลายปี ต้องการความชื้นสูงและแสงแดดรำไร ถ้ารับแสงแดดเต็มที่ใบจะไม่สวยเลย ขอบใบหรือใบจะไหม้เกรียมเพราะถูกแดดเผา คล้าเป็นไม้ที่มีลวดลายใบและสีสันที่สวยงามแตกต่างกันไป จึงนิยมนำมาใช้ปลูกประดับหรือจัดสวนในที่ร่ม
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าพันธุ์ Calathea หลายชนิดได้รับการจัดประเภทใหม่เป็นพืชสกุล Goeppertia ทั้งสายพันธุ์ Calathea และ Geoppertia อยู่ภายใต้ตระกูล Marantaceae ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่ใหญ่โตนัก แม้จะมีการจัดประเภทใหม่ แต่หลายคนก็ยังเรียกพืชเหล่านี้ว่า Calatheas ในวารสารวิทยาศาสตร์ คู่มือการจัดสวน และร้านขายต้นไม้ จะยังคงพบพืชเหล่านี้ภายใต้คำว่า "Calathea" มากกว่า "Goeppertia"
คล้าซิก้าร์/Calathea lutea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calathea lutea (Aubl.) E.Mey. ex Schult. (1822). ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms. ---Basionym: Maranta lutea Aubl. (1775). ---Phrynium luteum (Aubl.) Sweet (1830). ---Phyllodes lutea (Aubl.) Kuntze (1891). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60458866-2#synonyms ชื่อสามัญ---Cigar Flower Plant, Cigar Calathea, Cuban Cigar, Mexican Cigar Plant, Habana Cigar. ชื่ออื่น---ซิการ์ ;[CHINESE: Xuějiā zhú yù, Huánghuā zhú yù.];[CZECH: Podčešulka žlutá, Kalatea.] ;[GERMAN: Cauassuwachs.];[MALAYSIA: Kuping Gajah (Malay).];[PORTUGUESE: Cachibou, Cauassú.];[SPANISH: Biao, Bijagua, Hoja blanca, Hoja de piedra, Pampano, Platanillo.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---CBALU (Preferred name: Calathea lutea.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เม็กซิโก บราซิล เปรู หมู่เกาะแคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Calathea' มาจากคำภาษากรีก 'kalathos' = ตะกร้าไม่มีการอ้างอิงที่ชัดเจน ; ชื่อของสายพันธุ์ 'lutea' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'luteus' = สีเหลืองโดยอ้างอิงถึงช่อดอก Calathea lutea เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดยJean Baptiste Christian Fusée-Aublet (1720–1778) เภสัชกรนักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ernst Heinrich Friedrich Meyer (1791–1858) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Josef August Schultes (1773–1831) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2365 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน (จาเมกา เปอร์โตริโก) อเมริกาใต้ (กายอานาถึงเปรูและโบลิเวีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล) หมู่เกาะแคริบเบียน เติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำในลำธารหรือที่ราบริมแม่น้ำตามขอบต้นไม้ แต่ยังอยู่ในคูน้ำริมถนนในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศชื้นและร้อนจัดโดยส่วนใหญ่มักอยู่ในที่ราบลุ่มชายฝั่ง ที่ระดับความสูง 0-2200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นไม่ผลัดใบเจริญเป็นกอ สูงได้ 3-4 (ถึง 5 เมตร ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ) ใบขนาดใหญ่ซึ่งแทงขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน กว้างประมาณ 0.7 เมตรยาวได้ถึง 1.7 เมตร แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปไข่กลับ สีเขียวเนื้อใบหนา เรียบเกลี้ยง ด้านท้องใบเคลือบด้วยสีขาวนวลและแห้ง ช่อดอก ยาวประมาณ 30 ซม. กาบรองดอกรูปไข่สีน้ำตาลปนแดงดอกสีเหลือง ผลเป็นแคปซูลรูปไข่สีส้ม เมล็ดสีเขียวมีเนื้อสีส้มเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดแสงอ่อนๆ ในตอนเช้า และป้องกันแสงแดดจัดในตอนบ่าย ถึงร่มเงาบางส่วน พืชจะเติบโตได้ดีในช่วงความชื้น 50- 70% ความชื้นที่น้อยลงจะทำให้ใบพืชมีสีเข้มและร่วงหล่น ดินปลูกที่มีส่วนผสมอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบๆ ใบพืช ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะ Calatheaไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของปุ๋ยน้ำ10-10-10สลับกับปุ๋ยอินทรีย์เมื่อถึงฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและไวรัส โรคเน่า Pythium และโรคเน่า Rhizoctonia อาจเกิดขึ้นได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับกลางแจ้งเป็นกลุ่มหรือปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่มรำไร ช่อดอก มีอายุยาวนานเหมาะปลูกเป็นไม้ตัดดอกปักแจกัน รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้ากาเหว่าลาย/Calathea lancifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia insignis (W.Bull ex W.E.Marshall) J.M.A.Braga, L.J.T.Cardoso & R.Couto.(2017) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Basionym: Maranta insignis W.Bull ex W.E.Marshall.(1902) ---Calathea insignis (W.Bull ex W.E.Marshall) W.Bull.(1908), nom. illeg. ---Calathea lancifolia Boom.(1955) ---Goeppertia lancifolia (Boom) Borchs. & S.Suárez.(2012) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77174285-1#synonyms ชื่อสามัญ---Rattlesnake plant ชื่ออื่น---คล้ากาเหว่า, กาเหว่าลาย ;[FRENCH: Maranta serpent à sonnette.];[JAPANESE: Karatea rankiforiya.];[PORTUGUESE: Maranta cascavel.];[THAI: Khla kawao, Kawao lai.]. ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---CBALA (Preferred name: Goeppertia insignis.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---เม็กซิโก บราซิล เปรู หมู่เกาะแคริบเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Göppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน ; ชื่อของสายพันธุ์จากภาษาละติน 'insignis' = “ โดดเด่น” โดยอ้างอิงถึงการเติบโตอย่างรวดเร็ว Goeppertia insignis ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Calathea lancifolia เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย [William Bull (1828-1902) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ จากอดีต W.E.Marshall] และได้ชื่อแน่นอนในปัจจุบัน โดย João Marcelo Alvarenga Braga นักพฤกษศาสตร์ ชาวบราซิล, Leandro Jorge Telles Cardoso (fl. 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวบราซิล และ Ricardo Sousa Couto (fl. 2014) นักพฤกษศาสตร์และนักวิจัยชาวบราซิล.ในปี พ.ศ.2560 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อน รัฐรีโอเดจาเนโรในบราซิล พบใน เม็กซิโก เปรู หมู่เกาะแคริบเบียน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ ต้นเป็นกอสูง 30-45 ซม.ใบหนา กว้าง 4-5.5 ซม. ยาว 25-35 ซม. รูปแถบ แผ่นใบมีรอยนูนเป็นคลื่น ด้านบนสีเขียวอ่อนอมเหลือง มีลายรูปเรียวรีและจุดสีเขียวเข้มตามรอยนูนสลับกันทั้งสองด้านของแผ่นใบ ขอบใบขลิบสีเขียวเข้ม ใต้ใบสีม่วงแดง ก้านใบกลมสีเขียวเข้ม ยาว 20-30 ซม.รอยต่อกับแผ่นใบสีม่วงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ต้องการแสงทางอ้อมที่สว่าง ถึงร่มเงาบางส่วน ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 อุณหภูมิต่ำสุดที่ 16 °C การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบๆ ใบพืช ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะ Calatheaไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของปุ๋ยน้ำสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อถึงฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับต้นนี้จะทนต่อแสงแดดมากคล้าทั่วไป นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แบ่งเหง้า
คล้าใบละร้อย/Calathea vaginata
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Goeppertia vaginata (Petersen) Borchs. & S.Suárez.(2012) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Calathea vaginata Petersen.(1889) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77130074-1#synonyms ชื่อสามัญ---Calathea ชื่ออื่น---คล้าใบละร้อย ;[THAI: Khla bai la roi.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---กายอานา โคลัมเบีย นิคารากัว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Göppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia vaginata ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Calathea vaginata เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae)ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Otto Georg Petersen (1847-1937) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และได้ชื่อแน่นอนในปัจจุบัน โดย Finn Borchsenius [de; es] (born 1959) นักพฤกษศาสตร์ ชาวเดนมาร์ก และ Stella Suárez (fl. 2000) ในปี พ.ศ. 2555 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบราซิล (Bahia ถึง Rio de Janeiro) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ 10-20 ซม.ใบยาว10-13ซม.ค่อนข้างกลมปลายมนกึ่งกลม โคนใบกลม ขอบเรียบ มีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนสีเขียวอ่อนอมเทาเหลือบเงิน ขอบใบขลิบสีเขียวเข้ม ใบอ่อนมีสีแดงเรื่อ และค่อยๆจางลงเมื่อใบแก่ เส้นกลางใบสีแดง ใต้ใบสีม่วงแดง ก้านใบกลมสั้น สีม่วงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วนดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบๆ ใบพืช ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะ Calatheaไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของปุ๋ยน้ำสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อถึงฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แบ่งเหง้า
คล้าม้าลาย/Calathea zebrina
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia zebrina (Sims) Nees.(1831) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms ---Basionym: Calathea zebrina (Sims) Lindl.(1829) ---Maranta zebrina Sims.(1817) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:796810-1#synonyms ชื่อสามัญ---Zebra Plant, Peacock plant, Zebra prayer plant ชื่ออื่น---คล้าม้าลาย, คล้าเสือโคร่ง, ว่านพญาเสือโคร่ง ;[CHINESE: Huā yè zhú yù.];[FRENCH: Maranta zébré.];[GERMAN: Zebra-Pfeilwurz.];[JAPANESE: Karatea zebrina.];[PORTUGUESE: Calatéia-zebra, Maranta-zebra, Maranta-zebrina Brazil).];[SWEDISH: Strimblad.];[THAI: Khla maa lai, Khla suea khrong, Wan phaya suea khrong.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---CBAZE (Preferred name: Goeppertia zebrina.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง,อเมริกาใต้ เอเซีย-จีน ไต้หวัน แคริเบียน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Göppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน ; ชื่อสายพันธุ์ 'zebrina'เป็นภาษาละตินหมายถึง "มีลายเหมือนม้าลาย" Goeppertia zebrina ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Calathea zebrina เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae)ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย John Sims (1749–1831) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2374 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล (Bahia ถึง Santa Catarina).เติบโตในป่าชื้น แนะนำ (เพาะปลูก) ใน อเมริกากลาง,อเมริกาใต้ เอเซีย-จีน ไต้หวัน Caribbean ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ สูงถึง 1 เมตร ใบยาว 30-35 ซม.รูปรีเรียว ปลายแหลมโคนสอบ ขอบเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนเป็นกำมะหยี่ สีเขียวอ่อนสลับกับลายแถบสีเขียวเข้มคล้ายหางลูกธนู เส้นกลางใบสีขาวอมเขียว ใต้ใบสีม่วงแดง และมีกาบหุ้มตลอดแนวก้าน ช่อดอกที่ไม่ค่อยออกในการเพาะปลูก สั้นกว่าใบ เป็นรูปกรวย ยาวประมาณ 10 ซม. มีกาบรูปขอบขนานขอบโค้ง เรียงเป็นเกลียวสีม่วง ล้อมรอบดอกจำนวนมาก มีกลีบดอกสีม่วงอมชมพูเปิดเป็นคู่ๆ ต่อเนื่องกัน ผลเป็นแคปซูลมีเมล็ด 3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงทางอ้อมปานกลางถึงสว่าง แสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน ต้องมีการป้องกันลม ความชื้นสูง 70-80% และอุณหภูมิ 20-25 °C อุณหภูมิขั้นต่ำ 16-20 °C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 (กรดอ่อนถึงเป็นกลาง) การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของปุ๋ยน้ำสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อถึงฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้าเสน่ห์ขุนแผน/Goeppertia majestica 'Albo Lineata'
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia majestica (Linden) Borchs. & S.Suárez cv. Albo Lineata ชื่อพ้อง---Calathea majestica 'Albo-lineata' Species---majestica Cultivar---Albo-lineata ชื่อสามัญ---Calathea Albolineata, Calathea Majestica, Calathea Whitestar ชื่ออื่น---ว่านเสน่ห์ขุนแผน, คล้าขุนแผนเรียกเงิน EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ชื่อวงศ์---MARANTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ --ทวีปอเมริกากลาง อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน ; ชื่อของสายพันธุ์เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน "majesticus, a, um" = ตระหง่าน Goeppertia majestica 'Albo-lineata' ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Calathea majestica 'Albo-lineata' เป็นชนิดพันธุ์หนึ่ง (Cultivar) ของ Goeppertia majestica สายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Goeppertia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำอเมซอน และบางแห่งในอเมริกาใต้ พบในการเพาะปลูกเท่านั้น ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า ต้น สูง 35-50 ซม. ใบหนายาว 20-25 ซม.กว้าง 7-15 ซม.รูปไข่ค่อนข้างเรียว ปลายแหลมโคนใบกลม ขอบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อยด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันตามรอยนูนของเส้นใบย่อย กึ่งกลางใบและขอบใบ ส่วนที่เป็นร่องระหว่างรอยนูนมีเส้นริ้วสีขาวพาดเฉียงกลุ่มละ 4 เส้น เรียงไม่เป็นระเบียบ ดอกขนาดเล็กไม่ค่อยมีดอกในการเพาะปลูก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิสูงคงที่ 24-28 °C ความชื้นสูง 70-80% และอยู่ในที่กำบังลม ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของของปุ๋ยน้ำ10-10-10สลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้าเสน่ห์นางพิม/Goeppertia majestica 'Roseo-lineata'
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Goeppertia majestica (Linden) Borchs. & S.Suárez cv. 'Roseolineata' ชื่อพ้อง---Calathea majestica 'Roseolineata' Species--- majestica Cultivar---Roseolineata ชื่อสามัญ---Calathea ชื่ออื่น---ว่านเสี่ยงทาย, โรซีโอลิเนียตา, คล้านางพิม ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--กายอานา, โคลัมเบีย และเอกวาดอร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia majestica 'Roseolineata' ก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อ Calathea majestica 'Roseolineata' เป็นชนิดพันธุ์หนึ่ง (Cultivar) ของ Goeppertia majestica สายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Goeppertia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในลุ่มแม่น้ำอเมซอน และบางแห่งในอเมริกาใต้ พบในการเพาะปลูกเท่านั้น ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบต้นสูงถึง 1เมตรใบหนายาว25-30ซม.รูปไข่ปลายแหลม โคนป้าน ขอบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันมีเส้นริ้วพาดเฉียงเป็นกลุ่มๆละ 2-3 เส้น ยาวไม่เท่ากัน (คล้าย C.majestica) เส้นกลางใบซึ่งเป็นร่องและเส้นริ้วของใบอ่อนมีสีแดงอมชมพู เมื่อแก่จึงจางเป็นสีขาว ใต้ใบสีม่วงแดงก้านใบกลม ยาว สีเขียวเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิสูงคงที่ 20-25 °C ความชื้นสูง 70-80% และอยู่ในที่กำบังลม ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของปุ๋ยน้ำ10-10-10สลับกับปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อถึงฤดูหนาวให้หยุดใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
เสน่ห์ขุนแผน ซานเดอเรียนา/Goeppertia ornata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia ornata (Linden) Borchs. & S.Suárez.(2012) ชื่อพ้อง ---Calathea sanderiana, Calathea majestica, Calathea regalis [ทั้ง 3 ชนิดเคยถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่ปัจจุบันถือว่าเป็นพันธุ์ Goeppertia ornata], Calathea arrecta, Maranta albolineata, Maranta ornata / regalis) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60461169-2#synonyms ชื่อสามัญ---Calathea Broad Leaf, Pin-stripe Plant, Pin-Stripe Calathea ชื่ออื่น---เสน่ห์ขุนแผน ดาบขุนแผน ซานเดอเรียนา ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย เวเนซูเอลา อเมริกาใต้ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppertia (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia vaginata เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae)ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Jean Jules Linden (1817–1898) นักพฤกษศาสตร์ชาวลักเซมเบิร์ก-เบลเยียม และได้ชื่อแน่นอนในปัจจุบัน โดย Finn Borchsenius [de; es] (born 1959) นักพฤกษศาสตร์ ชาวเดนมาร์ก และ Stella Suárez (fl. 2000) ในปี พ.ศ. 2555 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ (โคลอมเบียเวเนซุเอลา) และเพาะปลูกในประเทศเขตอบอุ่นเป็นไม้ประดับในบ้าน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบต้นสูง 35-50 ซม.ใบหนายาว 25-30 ซม.รูปไข่กว้างปลายแหลม โคนป้าน ขอบเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายขีดสีขาวยาวไม่เท่ากันพาดขวางเป็นกลุ่ม กลุ่มละ3-4เส้น ใบอ่อนมีริ้วชมพูเมื่อใบแก่จะจางลงเป็นสีขาว(คล้ายคล้าขุนแผน) เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ใต้ใบสีม่วงแดงก้านใบกลมสีเขียวเหลือบม่วงแดงรอยต่อกับแผ่นใบสีเขียวอ่อน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วนดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบๆ ใบพืช ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะ Calathea Luteaไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสองสามสัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของของปุ๋ยน้ำ10-10-10 สลับกับปุ๋ยอินทรีย์ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้าพลายชุมพล/Goeppertia elliptica 'Vittata'
Picture: https://www.rareplants.net.au/calathea-elliptica-vittata-1/ ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia elliptica 'Vittata' ชื่อพ้อง---Calathea elliptica ‘Vittata’ Species--- elliptica Cultivar---Vittata ชื่อสามัญ---Prayer Plant Vittata, Calathea Vittata, Calathea Elliptica ชื่ออื่น---คล้าพลายชุมพล, คล้าวิตตาตา ; [SURINAME; Bastard Paloeloe.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย และเฟรนช์เกียนา เขตร้อนและเขตอบอุ่น นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน ; ชื่อสายพันธุ์ 'elliptica' = Goeppertia elliptica 'Vittata' เป็นชนิดพันธุ์หนึ่ง(Cultivar) ของ Goeppertia elliptica สายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Goeppertia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ (ในโคลัมเบีย และเฟรนช์เกียนา) มีต้นกำเนิดจากพืชสวน พบในการเพาะปลูกเท่านั้น ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ ต้นสูง 40-60 ซม.ใบยาว15-20ซม.รูปไข่เรียว ปลายเรียวแหลม โคนใบกลม ขอบเรียบ ด้านบนสีเขียวสดเป็นมัน มีเส้นริ้วสีขาวพาดขวางแผ่นใบเป็นคู่อย่างเป็นระเบียบทั้งสองด้าน เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ใต้ใบสีเขียวเทา ก้านใบกลม สีเขียวต้น สูงถึง 1เมตรใบหนายาว 25-30 ซม.รูปไข่ปลายแหลม โคนป้าน ขอบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันมีเส้นริ้วพาดเฉียงเป็นกลุ่มๆละ 2-3 เส้น ยาวไม่เท่ากัน(คล้าย C.majestica) เส้นกลางใบซึ่งเป็นร่องและเส้นริ้วของใบอ่อนมีสีแดงอมชมพู เมื่อแก่จึงจางเป็นสีขาว ใต้ใบสีม่วงแดงก้านใบกลม ยาว สีเขียวเข้ม ดอกสีครีมอ่อน มักออกตามยอดที่ไม่มีใบ Calathea elliptica 'Vittata' มีลักษณะการพับใบในตอนค่ำถึงรุ่งเช้าโดยใช้ geniculum เล็ก ๆ ซึ่งมีข้อต่อคล้ายเข่าเชิงมุมที่เชื่อมต่อกับก้านใบคล้ายกับมือที่วางไว้ด้วยกัน ดังนั้นจึงมีชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า Prayer Plantและในตอนเช้าใบไม้จะกลับสู่ตำแหน่งปกตินั่นคือเกือบจะตั้งฉากกับก้านใบ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย ต่ำสุด 15 °C และสูงสุด 28 °C ที่อุณหภูมิต่ำกว่าช่วงนี้ พืชจะหยุดเติบโตในขณะที่อุณหภูมิที่สูงกว่าช่วงนี้อาจทำให้พืชตายได้ ต้องการความชื้นสูง 50% ถึง 80% ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆ 4 สัปดาห์ด้วยสารละลายเจือจางของของปุ๋ยน้ำ10-10-10 สลับกับปุ๋ยอินทรีย์ งดการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ล้างสารเคมีที่สะสม (เกลือ) ออกจากดินเป็นประจำโดยการให้น้ำไหลผ่านดิน ปล่อยให้กระแสน้ำไหลไปชั่วขณะและทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่ม และปลูกในภาชนะ เป็นไม้กระถาง รู้จักอ้นตราย--- เช่นเดียวกับพืช Calathea อื่น ๆ ไม่เป็นพิษต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ปลูกในร่มได้อย่างปลอดภัย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้ายูงรำแพน/Calathea makoyana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia makoyana ( É.Morren ) Borchs. & S. Suárez.(2012). ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Basionym: Calathea makoyana É Morren.(1872). ---Maranta makoyana (É.Morren) É.Morren.(1873). ---Phyllodes mackoyana (É.Morren) Kuntze.(1891). ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60461041-2#synonyms ชื่อสามัญ ---Peacock plant, Cathedral windows, Brain Plant ชื่ออื่น---คล้ายูงรำแพน, คล้ามยุรา ;[CHINESE: Kǒngquè zhú yù, Mǎkè xiào zhú yù.];[DANISH: Påfugleblad.];[FRENCH: Maranta commun,Plante de la prière,Plante-paon.];[GERMAN: Pfauen-Korbmaranthe.];[JAPANESE:Karatea makoyana.] ; [SWEDISH: Pafagelsblad.];[THAI: Khla yung ramphan, Khla Mayura.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---CBAMA (Preferred name: Goeppertia makoyana.) ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---อเมริกาใต้ บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia makoyana เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัว Marantaceae (วงศ์คล้า) ก่อนหน้านี้รวมอยู่ในสกุล Calatheaได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Charles Jacques Edouard Morren (1833 –1886) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยFinn Borchsenius (เกิดปี 1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและ Stella Suárez (fl.2000) ในปี พ.ศ. 2555 ที่อยู่อาศัย พบตามธรรมชาติในอเมริกาใต้ กระจายไปในหลายประเทศ เกิดขึ้นตามธรรมชาติในรัฐ Espírito Santo ของบราซิล เติบโตในชีวนิเวศเขตร้อนชื้นเป็นหลัก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 60-90 ซม.ใบหนายาว 25-35 ซม.รูปรีกว้างปลายแหลม ขอบเป็นคลื่นเล็กน้อย มีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนสีเขียวเป็นมัน มีลายแถบสั้นๆสีเขียวเข้ม สลับกับสีเขียวอ่อนพาดตามแนวเส้นใบย่อย ถัดมาเป็นลายโค้งหยักสีขาวขลิบสีเขียวเข้ม ขนานกับขอบใบ แล้วเป็นสีเขียวเข้มที่ริมใบ เส้นกลางใบเป็นร่องสีเขียวอ่อน ใต้ใบสีม่วงแดงก้านใบกลมสีม่วงแดงรอยต่อกับแผ่นใบสีน้ำตาลแดงอ่อนช่อดอกแบบช่อเชิงลด ทรงกระบอก กาบรองดอกสีเขียวอ่อน ซ้อนกันแน่น ดอกสีขาว เช่นเดียวกับ "prayer plants"อื่น ๆพืชชนิดนี้จะยกและปิดใบในเวลากลางคืนและเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อรุ่งสาง การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสี่สัปดาห์ ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลหรือไนโตรเจนสูงสำหรับพืชในร่มสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ หยุดใส่ปุ๋ย ในฤดูหนาว เพราะมันอาจจะเติบโตได้ไม่มากนัก ปุ๋ยที่มากเกินไปอาจทำให้ระบบรากไหม้และทำให้ใบด่างไม่สวยได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินหรือปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่มเหมาะสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายในอื่น ๆ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ได้รับรางวัล---AGM ( The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกหน่อ ปักชำเหง้า
คล้าซันโต/Calathea roseopicta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia roseopicta ( Linden ) Borchs & S. Suárez (2012) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Basionym: Maranta roseopicta Linden ex Lem. (1866) ---Calathea roseopicta (Linden) Regel (1869) ---Phyllodes roseopicta (Linden) Kuntze (1891) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60461319-2#synonyms ชื่อสามัญ---Rose Painted Calathea ชื่ออื่น---คล้าซันโต ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia roseopicta เป็นสายพันธุ์พืชดอกของครอบครัว Marantaceae (วงศ์คล้า) ก่อนหน้านี้รวมอยู่ในสกุล Calatheaได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย John Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Finn Borchsenius (เกิดปี 1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและ Stella Suárez ในปี พ.ศ. 2555 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงใต้ของบราซิล เติบโตในชีวนิเวศเขตร้อนชื้นเป็นหลัก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ ได้ถึง 50 ซม. ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Calathea makoyana มาก ใบหนา ยาว15-20 ซม.รูปรีกว้างเกือบกลม ปลายมนมีติ่งแหลม ขอบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบนูนเป็นคลื่นตามแนวเส้นใบย่อยด้านบนสีเขียวเข้มเหลือบเงิน ตรงกึ่งกลางติดกับเส้นกลางใบมีแถบสีขาวเล็กๆ ส่วนลายหยักสีขาวที่ขนานกับขอบใบมักจะโค้งตามร่องแผ่นใบ ใบอ่อนเส้นกลางใบมีสีแดง เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีขาว ใต้ใบสีม่วงแดง ก้านใบกลม สั้น สีม่วงแดง ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ก้านช่อดอกกลมสั้น สีม่วงวงแดง กาบรองดอกสีเขียวอ่อน เรียงสลับกันเป็นวง ดอกสีขาวและสีม่วงอ่อน เช่นเดียวกับ "prayer plants"อื่น ๆพืชชนิดนี้จะยกและปิดใบในเวลากลางคืนและเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อรุ่งสาง มีอีกชนิดพันธุ์ที่เป็นที่นิยมมาก คือ Goeppertia roseopicta 'Dottie' พันธุ์นี้ขายภายใต้ชื่อทางการค้าของ Calathea 'Black Rose' ใบรูปไข่ถึงรูปไข่ยาว 25 ซม. กว้าง 20 ซม. ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มเกือบดำมีเส้นกลางใบสีชมพูสดใส ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิระหว่าง 18-24 °C อุณหภูมิขั้นต่ำ 16 °C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---รดน้ำเป็นประจำสองครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อนแต่อย่ามากเกินไป การพ่นหมอกเป็นอีกวิธีในการเพิ่มความชื้นรอบ ๆใบพืช ในสภาวะที่มีความชื้นไม่เพียงพอขอบใบจะดำได้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้น้ำประปาเนื่องจากมีฟลูออไรด์และคลอไรด์ เพราะจะไวต่อสารเคมีเหล่านี้ น้ำฝนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเจริญเติบโตที่เหมาะสม การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกๆสี่สัปดาห์ ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลหรือไนโตรเจนสูงสำหรับพืชในร่มสลับกับปุ๋ยอินทรีย์ หยุดใส่ปุ๋ย ในฤดูหนาว เพราะมันอาจจะเติบโตได้ไม่มากนัก ปุ๋ยที่มากเกินไปอาจทำให้ระบบรากไหม้และทำให้ใบด่างไม่สวยได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/ใบจุดและรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินในที่ร่มเหมาะสำหรับบ้านสำนักงาน และการตกแต่งภายในอื่น ๆ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ได้รับรางวัล---AGM ( The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกหน่อ ปักชำเหง้า
คล้าถุงเงิน/Calathea picturata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia picturata 'Argentea' ชื่อพ้อง ---Calathea picturata 'Argentea' Species---picturata Cultivar---Argentea ชื่อสามัญ---Calathea, Silver Variegated Calathea ชื่ออื่น---คล้าถุงเงิน ;[THAI: Khla thung ngeon.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia picturata 'Argentea' เป็นชนิดพันธุ์หนึ่ง (Cultivar) ของ Goeppertia picturata สายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Goeppertia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 0.5 เมตรหลังจากผ่านไป 5-10 ปี ใบหนา ยาว15-20 ซม. รูปรีปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ ใบเป็นมัน ด้านบนสีเขียวอ่อนอมเทาขลิบสีเขียวเข้มที่ขอบใบ ใต้ใบเป็นกำมะหยี่สีม่วงแดง ก้านใบกลมยาว สีเขียวเหลือบน้ำตาลแดง ช่อดอกแบบช่อเชิงลด เป็นแท่งยาว ก้านช่อดอกกลมยาวสีม่วงแดง กาบรองดอกสีน้ำตาลแดงอมม่วง เรียงชิดซ้อนกันเป็นวง ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิห้องเฉลี่ยระหว่าง 18 – 24ºC และไม่ต่ำกว่า15ºC ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและพืชตายได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบจุดจากเชื้อราและแบคทีเรีย และรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินในที่ร่มและเหมาะสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายในอื่น ๆ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ได้รับรางวัล---AGM (The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้าทอง/Calatgea picturata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Goeppertia Picturata 'Vandenheckei' ชื่อพ้อง---Calatgea picturata 'Vandenheckei' Species---picturata Cultivar---Vandenheckei ชื่อสามัญ---Calathea Royal, Cow’s ear, Calathea Silver Back ชื่ออื่น---คล้าทอง, คล้าแวนเดนเฮกคีอาย ;[THAI: Khla thong.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia Picturata 'Vandenheckei' เป็นชนิดพันธุ์หนึ่ง (Cultivar) ของ Goeppertia picturata สายพันธุ์พืชดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Goeppertia ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 30-50 ซม.ใบยาว 18-20 ซม. รูปรีปลายแหลม โคนสอบ ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย มีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนสีเขียวเข้มเหลือบเงิน กึ่งกลางใบติดกับเส้นกลางใบ และกึ่งกลางของแผ่นใบทั้งสองด้านมีลายหยักสีเขียวอมเทา เป็นแถบขนานกับขอบใบใต้ใบเป็นกำมะหยี่สีม่วงแดง ก้านใบกลม ยาวสีเขียวปนม่วงแดง รอยต่อกับแผ่นใบสีน้ำตาลแดงช่อดอกแบบช่อเชิงลด เป็นแท่งกลม ก้านช่อดอกสั้นมาก สีน้ำตาลแดง กาบรองดอกสีเขียวปนน้ำตาลแดง ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิห้องเฉลี่ยระหว่าง 18 – 24ºC และไม่ต่ำกว่า 16ºC ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและพืชตายได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบจุดจากเชื้อราและแบคทีเรีย และรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินในที่ร่มและเหมาะสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายในอื่น ๆ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
คล้าริบบิ้นแดง/Calathea rufibarba
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Goeppertia rufibarba (Fenzl) Borchs. & S.Suárez (2012) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Basionym: Calathea rufibarba Fenzl (1879) ---Phyllodes rufibarba (Fenzl) Kuntze (1891) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60461321-2#synonyms ชื่อสามัญ---Fuzzy Feather Calathea, Furry feather, Velvet calathea ชื่ออื่น---คล้าริบบิ้นแดง, คล้ารูฟิบาร์บา ;[FRENCH: Calathéa velours.];[THAI: Khla rib-bin-darng.] ชื่อวงศ์ ---MARANTACEAE EPPO Code---CBARU (Preferred name: Calathea rufibarba.) syn ; GPESS (Preferred name: Goeppertia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Goeppertia' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heinrich Goeppert (1800–1884) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาว เยอรมัน Goeppertia rufibarba เป็นสายพันธุ์พืขดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) ก่อนหน้านี้รวมอยู่ในสกุล Calathea ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard Fenzl (1808–1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยFinn Borchsenius (เกิดปี 1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและ Stella Suárez (fl. 2000) ในปี พ.ศ. 2555 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในรัฐ Bahia ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 30-40 ซม. ใบยาว18-20ซม.รูปใบหอกแคบแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม ขอบใบเป็นคลื่นสม่ำเสมอ ด้านบนสีเขียวเข้มเหลือบเงิน เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน ใต้ใบสีม่วงแดง มีขนอ่อนนุ่ม ก้านใบกลมยาว สีเขียวปนน้ำตาลแดงและมีขนนุ่ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม อุณหภูมิห้องเฉลี่ยระหว่าง 18 – 24ºC และไม่ต่ำกว่า 16ºC ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ---ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและพืชตายได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งกิ่งนอกจากเอาใบที่เป็นโรคออก ตัดส่วนที่เสียหาย ตาย หรือส่วนที่โตเกินไป การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวใส่ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบจุดจากเชื้อราและแบคทีเรีย และรากเน่า อาจเกิดขึ้นได้ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินในที่ร่มและเหมาะสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายในอื่น ๆ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
แรบบิตส์ฟุต/Maranta leuconeura var. kerchoveana
ชื่อวิทยาศาสตร์--Maranta leuconeura E.Morren (1874) ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms ---Calathea leuconeura (É.Morren) G.Nicholson.(1884) ---Maranta leuconeura var. kerchoveana E. Morren.(1879) ---Maranta leuconeura var. erythroneura G.S.Bunting.(1966) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/797361-1#synonyms ชื่อสามัญ---Rabbit's Foot, Rabbit's Tracks, Prayer-plants, Ten-commandments, Banded arrowroot, Herring-bone plant ชื่ออื่น---แรบบิตส์ฟุต, ตีนกระต่าย, คล้าเคอร์โชเวียนา ;[FRENCH: Dormeuse, Maranta tricolore, Plante de la prière, Plante des dix commandements, Plante prieuse.];[JAPANESE: Maranta.];[SWEDISH: Moses stentavlor.];[THAI: Khla tin kratai.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---MARLE (Preferred name: Maranta leuconeura.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ขื่อสปีซี่ส์ 'leuconeura' =หมายถึง "white-veined" "เส้นสีขาว" อ้างอิงถึงใบไม้ Maranta leuconeura เป็นสายพันธุ์พืขดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Maranta ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Charles Jacques Edouard Morren (1833 –1886) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม ในปีพ.ศ. 2417 ต่อไปนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติพันธุ์ (แตกต่างจากสายพันธุ์ที่คัดเลือกเทียม) ---Maranta leuconeura var. kerchoveana (ตีนกระต่าย)--- จ้ำสีเข้มระหว่างเส้นใบ ---Maranta leuconeura var. erythroneura (ก้างปลา)--- เส้นสีแดงเข้มบนใบสีเขียวเข้ม ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิด ในป่าเขตร้อนของบราซิล ที่ระดับความสูงถึง 2,600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้น ลำต้นทอดเลื้อยตามผิวดิน สูง 30-50 ซม.ใบยาว10-12 ซม.รูปรีสั้น ปลายแหลมรวบ โคนใบรูปหัวใจ ขอบเรียบมีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนเป็นกำมะหยี่สีเขียวอมเทา มีแต้มสีเขียวมะกอกระหว่างรอยนูนใต้ใบสีเขียวอมเทา ก้านใบสีเขียว มีกาบหุ้มช่อดอกแบบช่อเชิงลด ชูสูงขึ้นจากพุ่มใบ ก้านช่อดอกสีเขียวเหลือบน้ำตาลแดง กาบรองดอกเรียวแหลม ขนาดเล็กสีน้ำตาลแดงดอกสีขาวและมีแต้มสีม่วงอยู่กึ่งกลางดอก เช่นเดียวกับ "prayer plants"อื่น ๆพืชชนิดนี้จะยกและปิดใบในเวลากลางคืนและเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อรุ่งสาง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม ต้องการ อุณหภูมิขั้นต่ำ 15 °C อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 21–27 °C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของพีทมอสสองส่วนทรายหนึ่งส่วนและดินร่วนอีกส่วนหนึ่ง ค่า pH 6.1- 7.3 อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 ° C - 30 ° C การรดน้ำ--- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและฆ่าพืชได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบจุดจากเชื้อราและแบคทีเรีย และรากเน่าอาจเกิดขึ้นได้ในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนคลุมดินในที่ร่ม และเหมาะสำหรับบ้านสำนักงาน และการตกแต่งภายในอื่น ๆ ต้นไม้ชนิดนี้มักถูกใช้ในห้างสรรพสินค้า สามารถปลูกได้ในเครื่องปลูกภาชนะ กระถางแขวน รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ได้รับรางวัล---AGM (The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.) ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
ทับทิมเศรษฐี/Ctenanthe oppenheimiana
ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Ctenanthe oppenheimiana ‘Tricolor’ ชื่อพ้อง--- Ctenanthe oppenheimiana var. tricolor ---See https://www.rhs.org.uk/plants/30926/i-ctenanthe-oppenheimiana-i-tricolor/details ชื่อสามัญ ---Giant bamburanta, Never never plant, Oppenheim’s Bamburanta, Tricolor Bamburanta ชื่ออื่น---คล้านางพญาคล้าทอง, ทับทิมเศรษฐี ;[JAPANESE: Kutenante ôpenheimiana.];[THAI: Khla nang phaya khla thong, Taptim setthi.] ชื่อวงศ์---MARANTACEAE EPPO Code---CTWOP (Preferred name: Ctenanthe oppenheimiana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล Ctenanthe oppenheimiana ‘Tricolor’ เป็นความหลากหลาย (Variety) ของ Ctenanthe oppenheimiana สายพันธุ์พืขดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Ctenanthe ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบราซิล ‘Tricolor’ เป็นไม้ด่างที่เกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของชนิดปกติ ลักษณะ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ต้นแข็งแรงแตกกอมากลำ ต้นเทียมสูงประมาณ 30 ซม.ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้ารูปกึ่งทรงกลม ใบเดี่ยวรูปใบหอก กว้าง 10 ซม.ยาว 30 ซม.ปลายใบมนมีติ่งแหลม แผ่นใบมีริ้วลายสีเขียวเข้มสลับขาว ใต้ใบสีม่วงแดง ตลอดจนถึงก้านใบ เมื่อใบพลิ้วพับจะเกิดสีสลับตัดแซมกับสีแดงเข้มทั้งกอสวยงามมาก ดอก ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ออกที่ซอกใบหรือปลายลำต้นเทียม เกสรเพศผู้ 1 อัน ดอกไม้เป็นสีขาวและไม่มีนัยสำคัญ ผลไม้เป็นแคปซูลทรงกระบอกสีน้ำตาลเมื่อแก่ มีเมล็ดเดี่ยว รูปขอบขนาน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม ต้องการ อุณหภูมิขั้นต่ำ 15 °C อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 21–27 °C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์ความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของพีทมอสสองส่วนทรายหนึ่งส่วนและดินร่วนอีกส่วนหนึ่ง ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ--- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและฆ่าพืชได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โดยทั่วไปปราศจากโรค รากเน่าอาจเกิดขึ้นได้ในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนขนาดเล็ก, แปลงดอกไม้ รวมทั้งในที่ร่มสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายใน -อื่น ๆสายพันธุ์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Stromanthe Sanguinea 'Triostar' มากและทั้งสองมักสับสนกัน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองอยู่ที่ใบของ Stromanthe ที่ไม่มีแถบคาดตามปกติ และใบ Ctenanthe ที่มีรูปร่างกลมกว่า พิธีกรรม/ความเชื่อ---เป็นไม้มงคลที่เชื่อกันว่าปลูกแล้วจะร่ำรวย มีเงินทองเหลือใช้ รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ได้รับรางวัล---AGM (The Royal Horticultural Society's Award of Garden Merit.).2017 ขยายพันธุ์--- ด้วยการแยกกอ เหง้า
ว่านแสงสุริยา/Stromanthe sanguinea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Stromanthe thalia (Vell.) J.M.A.Braga.(1994-1995 publ. 1995) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Basionym: Heliconia thalia Vell.(1829) ---Maranta sanguinea (Sond.) Planch.(1852) ---Stromanthe sanguinea Sond.(1849) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1211666-2#synonyms ชื่อสามัญ---Calathea ชื่ออื่น---ว่านแสงสุริยา, ว่านแสงอาทิตย์ใบเล็ก ; [PORTUGUESE: Caeté-roxo.];[SWEDISH: Karmintopp.];[THAI: Wan Saeng aathit bai lek, Wan Saeng suriya.] ชื่อวงศ์ ---MARANTACEAE EPPO Code---SRMSA (Preferred name: Stromanthe thalia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์ ---บราซิล Stromanthe thalia เป็นสายพันธุ์พืขดอกของครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Stromanthe ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย José Mariano de Conceição Vellozo (1742–1811) นักพฤกษศาสตร์ ชาวบราซิล และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joao Marcelo Alvarenga Braga นักพฤกษศาสตร์ ชาวบราซิลในปี พ.ศ. 2538 ที่อยู่อาศัย พันธุ์พืชพื้นเมืองในป่าฝนของบราซิล ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กยืนต้นไม่ผลัดใบ ต้นเป็นกอแน่นสูงถึง 1.5 เมตร ใบยาว 25-50 ซม.รูปขอบขนานแกมรูปรีเป็นรูปใบหอก ปลายใบเรียวแหลม ขอบเรียบมีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เส้นกลางใบสีเขียวอ่อนอมเหลือง ใต้ใบสีแดง ช่อดอกแบบช่อกระจะ กาบรองดอกสีแดง ดอกสีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม ลวดลายที่โดดเด่นของใบจะหายไปเมื่อพืชอยู่ภายใต้ร่มเงาเต็มที่ใบจะกลายเป็นสีเขียวทึบ อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 18 ° C - 30 ° C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของพีทมอสสองส่วนทรายหนึ่งส่วนและดินร่วนอีกส่วนหนึ่ง ค่า pH 6.1- 7.3 การรดน้ำ--- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและฆ่าพืชได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง อาจเป็นปัญหาได้ ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โดยทั่วไปปราศจากโรค รากเน่าอาจเกิดขึ้นได้ในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับนิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนเป็นไม้คลุมดินในที่ร่มสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายใน พิธีกรรม/ความเชื่อ---เป็นไม้มงคลที่เชื่อกันว่าปลูกแล้วจะร่ำรวย มีเงินทองเหลือใช้ ขยายพันธุ์--- ด้วยการ เพาะเมล็ด แยกกอ ป้กชำเหง้า
กาเล็ดกาเว้า/Stachyphrynium jagorianum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Stachyphrynium repens (Körn.) Suksathan & Borchs.(2005) ชื่อพ้อง--- Has 6 Synonyms ---Basionym: Phrynium repens Körn.(1862) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77078287-1#synonyms ชื่อสามัญ ---Non not recorded ชื่ออื่น---คล้ากาเหว่าเขียว, กาเล็ดกาเว้า;[THAI: Khla kawao khieo, Kalet-Kawao.] EPPO Code---PRMSS (Preferred name: Phrynium sp.) ชื่อวงศ์---MARANTACEAE ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน หมู่เกาะอันดามัน มาเลเซีย ชวา สุมาตรา สุลาเวสี นิรุกติศาสตร์---ขื่อสปีซี่ส์ จากภาษาละติน 'repens' หมายถึง การขยายพันธุ์พืชผ่านเหง้า Stachyphrynium repens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์คล้า (Marantaceae) สกุล Stachyphrynium ได้รับการอธิบายครั้งแรกโดย Friedrich August Körnicke (1828 – 1908) นักปฐพีวิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาว เยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย ดร ปิยะเกษตร สุขสถาน (เกิด พ.ศ. 2503) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย และ Finn Borchsenius (เกิดปี 1959) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ.2548 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในไทย อินโดจีน คาบสมุทรมาเลเซีย และอินโดนีเซีย (สุมาตรา และชวา) เติบโตเป็นหลักในชีวนิเวศเขตร้อนชื้น พบขึ้นทั่วไป เป็นพืชคลุมดินในสภาพแสงน้อยถึงร่มเงาในสวนยางพารา และป่าดิบที่ลุ่ม ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 450 เมตร.ในประเทศไทยพบที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดตรัง ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กล้มลุก อายุหลายปี สูง 35 –50 ซม. ออก 1–3 ต่อหน่อ ก้านใบยาว 7–20 ซม. สีเขียว ผิวเกลี้ยงถึงมีขน ใบยาว 14-18 ซม.รูปขอบขนานค่อนข้างเรียวแคบ ปลายเรียวแหลม ขอบเรียบ มีรอยนูนตามเส้นใบย่อย ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน มีแต้มเรียวแหลมสีเขียวเข้มตามรอยนูน เรียงสลับทั้งสองด้านของแผ่นใบ เส้นกลางใบสีเขียวอ่อนใต้ใบสีเขียวอ่อน ก้านใบกลมเล็กสีเขียว ช่อดอกหลักยาว 2.5–7.5 ซม.ใบประดับ 3–6 ใบ ดอกสีขาวขนาด10 ซม.กลีบเลี้ยง 3 กลีบ ผลรูปรีกว้างถึงรูปไข่กลับ 3.8 x 3.8–5.2 มม.มีเมล็ด 1–2 เมล็ด รูปขอบขนาน ขนาดประมาณ 12.5 x 5.6 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดรำไรถึงร่มเงาบางส่วน สามารถทนต่อแสงหรือแสงแดดที่กรองได้ แต่หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงที่จะทำให้ใบไหม้เกรียม ต้องการ อุณหภูมิขั้นต่ำ 15 °C อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 21–27 °C ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยวัตถุอินทรีย์และมีการระบายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของพีทมอสสองส่วนทรายหนึ่งส่วนและดินร่วนอีกส่วนหนึ่ง ค่า pH 6.1- 7.3 อุณหภูมิที่เหมาะสม 18 ° C - 30 ° C การรดน้ำ--- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูปลูก ทำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำขัง การให้น้ำมากเกินไปอาจทำให้รากเน่าและฆ่าพืชได้ ในช่วงฤดูหนาวให้ลดการรดน้ำและรดน้ำต้นไม้เฉพาะเมื่อดินด้านบนแห้งระหว่างการรดน้ำ ใช้น้ำกลั่นหรือน้ำฝนเนื่องจากพืชชนิดนี้ไวต่อฟลูออไรด์และเกลือในน้ำประปา การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยทุกสองสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก (ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน) ด้วยปุ๋ยน้ำ 10-10-5 เจือจางครึ่งหนึ่งจากอัตราที่กำหนด ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวให้ปุ๋ยเดือนละครั้ง ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์ เพลี้ยอ่อน หรือเพลี้ยแป้ง ใช้สบู่ฆ่าแมลงตามธรรมชาติ (ซันไลต์ละลายน้ำฉีดที่ต้น)/โรคใบจุดจากเชื้อราและแบคทีเรีย และรากเน่าอาจเกิดขึ้นได้ในดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนเป็นไม้คลุมดินในที่ร่มสำหรับบ้านสำนักงานและการตกแต่งภายใน รู้จักอ้นตราย---เป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆและพืชไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ขยายพันธุ์--- ด้วยการ เพาะเมล็ด แยกกอ ป้กชำเหง้า
|
แหล่งที่มาอ้างอิง ---ไม้ประดับเพื่อการตกแต่ง (Ornamental Plants for Decoration) ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร,ประชิด วามานนท์ สำนักพิมพ์บ้านและสวนพิมพ์ครั้งที่1 2550 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---เต็ม สมิตินันทน์. 2557. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทธยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช. โรงพิมพ์พุทธศาสนาแห่งชาติ. กรุงเทพ.---สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) URL:www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Neptunia0javanica0Miq ---เอื้อมพร วีสมหมาย และคณะ. 2551. พรรณไม้ในงานภูมิสถาปัตยกรรม. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด. REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species:
Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ Global Plant Initiative--- Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos --- Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI --- International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images --- Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Up date 20-3-2564
Late up date 23/3/2367
|
|
|
|
Thanks for letting us know. Excellent content! Your content always stands out. It’s clear that you put a lot of thought and effort into creating posts that are both informative and engaging. Thank you for sharing your knowledge with us. Your hard work is very much appreciated.
Excellent post. I was consistently monitoring this blog and I must say that I am quite impressed. Exceptionally beneficial information, particularly the last section; I greatly value such details. I had been in pursuit of this specific information for an extended period. Your gratitude and best of success!
pg wallets Joker Slot
50 รับ 150
Indoor plants help you work better by absorbing carbon dioxide and keeping oxygen flowing, purifying the air by removing toxins, preventing illness, easing tension and stress, creating a relaxed and happy atmosphere, and ultimately helping you work better by improving your concentration, attention, and creativity. Please get dragon city for pc here or play My PlayHome Plus after you've created your own indoor plants.
Backlinks are links from a page on one website to another. This is important to us and you are giving us a chance and opportunity to help each other. We are hoping to have the same goal for the future of ours. ole777 mobile